นางนวรัตน์ วงศ์ฐิติรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บลูเวนเจอร์ กรุ๊ป (BVG) กล่าวว่า ปี 67 บริษัทตั้งเป้ารายได้ทะลุ 600 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 15% พร้อมรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่าปี 66 ภายใต้กลยุทธ์การเดินหน้าขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะในประเทศกัมพูชา ผ่านการร่วมทุนกับพันธมิตร เน้นบริการบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลและสินไหมทดแทน ผ่านระบบแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน (บริการ TPA) ซึ่งได้มีการจดทะเบียนบริษัทแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา คาดว่าจะเริ่มสร้างรายได้ให้กับบริษัทช่วงครึ่งหลังของปี 67
สำหรับธุรกิจ AI Estimate ซึ่งเป็นการนำผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาช่วยในขั้นตอนที่ผู้เอาประกันภัยแจ้งการเกิดอุบัติเหตุให้มีความสะดวกรวดเร็วและช่วยประเมินความเสียหายเบื้องต้นเพื่อประมาณการค่าสินไหมทดแทน คาดจะเริ่มทำรายได้ให้กับบริษัทภายในช่วงไตรมาส 3/67 ล่าสุดอยู่ระหว่างการพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้น หลังเริ่มดำเนินการให้ลูกค้าทดลองใช้ ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/66 ที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน บริษัทยังเตรียมเดินหน้าโปรเจกต์ใหม่ๆ ต่อยอดการเติบโตแบบก้าวกระโดด ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 4/66 ว่า กำไรสุทธิพุ่ง 109% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน แตะ 19 ล้านบาท รายได้รวมเติบโตโดดเด่น 22% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แตะ 141 ล้านบาท เดินหน้าสร้างสถิติใหม่ต่อเนื่อง หนุนภาพรวมทั้งปี 66 บริษัทกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 28% อยู่ที่ 69 ล้านบาท รายได้รวมเพิ่มขึ้น 19% อยู่ที่ 522 ล้านบาท
อานิสงส์จากภาพรวมธุรกิจประกันภัยที่เริ่มกลับสู่สภาวะปกติ หลังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid-19 คลี่คลาย ส่งผลให้มีจำนวนการใช้บริการเคลมประกันภัยรถยนต์และประกันสุขภาพมากขึ้น ประกอบกับการเติบโตทั้งในส่วนของธุรกิจเดิมและธุรกิจใหม่ด้าน AI ทำให้มีการขยายตัวของปริมาณการใช้งานระบบและฐานลูกค้าอย่างก้าวกระโดด ทั้งในธุรกิจแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันสำหรับการเคลมประกันภัยรถยนต์ (ระบบ EMCS) ธุรกิจบริการบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลและสินไหมทดแทนผ่านระบบแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน (บริการ TPA) และธุรกิจบริการที่ปรึกษาด้านคณิตศาสตร์ประกันภัย (บริการ BVA) นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถบริหารจัดการด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถรักษาอัตราการทำกำไรสุทธิได้ที่ 13%
"ปีนี้นับเป็นปีที่ฐานลูกค้าในระบบ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทประกันภัย อู่ซ่อมรถยนต์ หรือศูนย์บริการรถยนต์ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมีนัยยะสำคัญ โดย ณ สิ้นปี 66 มีจำนวนฐานลูกค้าในระบบกว่า 4,100 ราย เติบโตจากปีที่แล้วที่มีจำนวนฐานลูกค้าในระบบกว่า 3,800 ราย และเรายังมองเห็นโอกาสเติบโตทางธุรกิจต่อไปในอนาคตที่สอดคล้องกับเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่ทะยอยเข้ามาเปิดตัวในประเทศไทยอย่าง BYD, GWM, MG และหรือ TESLA ที่หันมาใช้บริการบริษัทเราในช่วงปีที่ผ่านมา" นางนวรัตน์ กล่าว