นายนันท์มนัส วิทยศักดิ์พันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไซโน โลจิสติกส์ คอร์ปอเรชั่น (SINO) เปิดเผยว่า แผนงานปี 67 บริษัทต้องการผลักดันให้เป็นประเทศไทยเป็นฮับการขนส่งสินค้าทางทะเลให้แก่ประเทศต่างๆ ในอาเซียนที่ต้องการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐอเมริกา โดยใช้ความได้เปรียบเชิงการแข่งขันที่ SINO สามารถทำสัญญาให้บริการกับสายเดินเรือในการขนส่งสินค้าไปยังประเทศในแถบโซนอเมริกาเหนือได้ด้วยตนเอง ประกอบกับเครือข่ายและพันธมิตรที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำเสนอบริการขนส่งสินค้าที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและตรงต่อเวลา ซึ่งคาดการณ์ว่าจะส่งผลดีต่อปริมาณการขนส่งสินค้าในปีนี้ให้เพิ่มเป็น 53,000 ตู้ และช่วยผลักดันรายได้ในปีนี้ให้เติบโต 15% โดยยังไม่นับรวมปัจจัยเชิงบวกจากอัตราค่าระวางเรือที่อยู่ในช่วงขาขึ้นรอบใหม่จากสถานการณ์ในทะเลแดง ที่ถือเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าทางทะเลที่สำคัญของโลก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผนที่วางไว้
สำหรับผลการดำเนินงานในปี 66 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการผลักดันการเติบโตของปริมาณการขนส่งสินค้าทั้งปี เพิ่มกว่า 46,000 ตู้ สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้และนับเป็นสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ สะท้อนถึงศักยภาพการดำเนินธุรกิจในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ ที่มีปริมาณขนส่งสินค้าทางทะเลเส้นทางไทย-สหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 1 ของผู้ให้บริการสัญชาติไทย และเป็นอันดับ 3 ของผู้ให้บริการของโลก
อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยของค่าระวางเรือที่ปรับตัวลดลงตามกลไกตลาด ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่นอกเหนือการควบคุม เป็นผลให้รายได้จากการให้บริการทำได้ 1,810 ล้านบาท ลดลง 69% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยสัดส่วนรายได้จากการขนส่งสินค้าทางทะเล (Sea Freight) คิดเป็น 90% รายได้จากการให้บริการเช่าคลังสินค้า 3% รายได้จากการให้บริการสนับสนุนอื่นๆ 5% และรายได้จากการให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางอากาศ (Air Freight) อยู่ที่ 2% ขณะเดียวกัน บริษัทได้มุ่งบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพสูงสุดให้สอดคล้องสถานการณ์อัตราค่าระวาง เพื่อลดแรงดันที่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงาน จึงมีกำไรสุทธิ 53 ล้านบาท
"เราประสบความสำเร็จในการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันการให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ ที่มีประมาณขนส่งสินค้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งตอกย้ำว่า SINO ยังเป็นผู้นำในการให้บริการขนส่งสินค้าทางทะเลในเส้นทางไทย-สหรัฐ ที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการลูกค้าได้เป็นอย่างดี และเชื่อมั่นว่าเมื่อค่าระวางเรือปรับขึ้นจากสถานการณ์ในทะเลแดงจะช่วยสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง" นายนันท์มนัส กล่าว