นายอนุวัตร โกศล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.จี แคปปิตอล (GCAP) เปิดเผยว่าแผนธุรกิจปี 67 บริษัทฯ พร้อมสานต่อกลยุทธ์ Lending & Non-Lending Business เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ในส่วน Lending Business ซึ่งเป็นการประกอบธุรกิจหลัก บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อใหม่เติบโตไม่น้อยกว่า 30% โดยมีปัจจัยบวกจากราคาผลิตผลการเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้น เกษตรกรมีความต้องการซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรมากขึ้น ทั้งนี้ บริษัทฯ มุ่งเน้นกลยุทธ์การรักษา-ต่อยอดธุรกิจจากฐานลูกค้าเดิม เพิ่มฐานลูกค้าใหม่ในภาคการเกษตร และการขยายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น สินเชื่อเช่าซื้อที่ครอบคลุมนวัตกรรมเครื่องจักรกลการเกษตรใหม่ๆ โดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์สินเชื่อที่รัดกุม และบริหารคุณภาพลูกหนี้อย่างใกล้ชิด
ในส่วน Non-Lending Business ซึ่งเป็นธุรกิจที่จะเข้ามาสร้างรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยรับ ทางบริษัทฯ อยู่ในช่วงการเตรียมงานของแต่ละโครงการที่ได้รับการอนุมัติแล้ว นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังไม่หยุดที่จะมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ใน segment ที่มีศักยภาพ โดย GCAP เน้นการผนึกพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญในแต่ละธุรกิจ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจ โดยแต่งตั้ง นายนิธาน ชัยเนตร เป็นรองกรรมการผู้จัดการ ช่วยดูแลภาพรวมทุกสายงานของบริษัทฯ ครอบคลุมงาน การตลาดและการขาย บัญชีและการเงิน พัฒนาธุรกิจ สำนักบริหาร ทรัพยากรบุคคล และเทคโนโลยีสารสนเทศ และแต่งตั้งนางสาวพนิดา แจ้งกิจ เป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ดูแลสายงานปฏิบัติการ
ทั้งนี้ นายนิธาน และนางสาวพนิดา นับเป็นคีย์แมนคนสำคัญของบริษัทฯ โดยร่วมงานกับ GCAP มาตั้งแต่ช่วงเริ่มก่อตั้ง จึงเป็นผู้ที่คลุกคลีและมีประสบการณ์ตรงในสายธุรกิจเช่าซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร และมีความเข้าใจในความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดี ทั้งนี้เชื่อว่าประสบการณ์ทางธุรกิจและความเป็นผู้นำของทั้งคู่ จะช่วยเสริมกำลังในการขับเคลื่อนการเติบโตของ GCAP ในอนาคต
สำหรับผลประกอบการงวดปี 66 มีกำไรสุทธิจำนวน 14.82 ล้านบาท ผลจากการบริหารคุณภาพลูกหนี้อย่างใกล้ชิด และสามารถเก็บเงินค่างวดได้ตามเป้าหมาย บริษัทมีรายได้ 181.76 ล้านบาท ลดลง 31.91 ล้านบาท หรือ 14.94% เมื่อเทียบกับปี 65 เนื่องจากบริษัทมุ่งเน้นการคัดกรองคุณภาพลูกหนี้ใหม่อย่างใกล้ชิดและรัดกุม รวมถึงยอดปล่อยสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายต่อเนื่องต้นปี 67 ขณะที่ต้นทุนทางการเงินอยู่ที่ 63.44 ล้านบาท ลดลง 22.81 ล้านบาท หรือ 26.45% เมื่อเทียบกับปี 65 ที่ 86.26 ล้านบาท จากการทยอยชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนด ค่าใช้จ่ายในการบริหารอยู่ที่ 98.54 ล้านบาท ลดลง 1.63 ล้านบาท หรือ 1.63% เมื่อเทียบกับงวดปี 65 ที่ 100.18 ล้านบาท