นายพิศาล ธาราพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) เปิดเผยแนวโน้มธุรกิจปี 67 คาดว่าผลประกอบการจะมีแนวโน้มดีขึ้นเป็นลำดับ และตั้งเป้าหมายจะพลิกกลับมามีกำไรในปีนี้ โดยบริษัทจะมุ่งเน้นชู 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.เพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ (Business Performance) 2. บริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ (Cost Efficiency) 3.เพิ่มความสามารถบุคคลากร (People) พร้อมเดินหน้าพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายทุกรูปแบบ ขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพื่อพัฒนาธุรกิจให้กลับมาแข็งแกร่ง
โดยผลประกอบการปี 2566 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 441 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 365.5 ล้านบาท ขาดทุนทางบัญชีสุทธิ 45.7 ล้านบาท ลดลง 32.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 67.7 ล้านบาท
สำหรับผลขาดทุนทางบัญชีสุทธิ 45.7 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับโครงสร้างธุรกิจซึ่งเป็นการจ่ายครั้งเดียวที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ (Non-routine expenses) จำนวน 25.5 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย การตั้งค่าเผื่อบรรจุภัณฑ์เสื่อมสภาพ (Stock Provision) 10.9 ล้านบาท กลับรายการสำรองสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีสำหรับรายการขาดทุนทางภาษีที่ยังไม่ได้ใช้ 7.2 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายชดเชยพนักงานจากการปรับฐานกำลังคน 4.9 ล้านบาทและค่าใช้จ่ายจากการปิดสาขาที่ไม่มีประสิทธิภาพในการทำกำไร 2.5 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทจึงมีผลประกอบการจากการดำเนินงานขาดทุนอยู่ที่ 20.1 ล้านบาท
สาเหตุที่รายได้รวมของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีผลขาดทุนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากบริษัทมีการพัฒนาด้านการตลาดและผลิตภัณฑ์ใหม่กลุ่ม BEAUTY & WELLNESS ซึ่งตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพมีกระแสตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ อีกทั้งกำลังซื้อทั้งในและต่างประเทศฟื้นตัวต่อเนื่อง การปรับโครงสร้างการขายและบริหาร ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นและต้นทุนลดลง ประกอบกับปัจจัยหลักสำคัญในการผลักดันการเติบโตในทุกช่องทางการจัดจำหน่ายดังนี้
ช่องทางร้านค้าปลีก BEAUTY BUFFET ยอดขายเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากการปรับปรุงร้านค้าปลีกรูปแบบใหม่ในทำเลศักยภาพ เข้าถึงกลุ่มลูกค้าทั้งคนไทยและนักท่องเที่ยว โดยมีร้าน BEAUTY BUFFET SHOP รูปแบบใหม่รวม 9 แห่ง ได้แก่ อยุธยาซิตี้พาร์ค, ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต, บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ สาขาราชดาริ, สยามสแควร์วัน, เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า, เซ็นทรัล ระยอง, โลตัส ศรีนครินทร์, แพลตินั่ม และมาร์เก็ตวิลเลจหัวหิน ส่งผลให้สิ้นปีมีสาขารวมทั้งสิ้น 47 สาขา
ช่องทางต่างประเทศ ยอดขายเพิ่มขึ้น 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากกำลังซื้อต่างประเทศปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะคำสั่งซื้อจากลูกค้าในประเทศจีนที่ทยอยกลับมา ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม BEAUTY & WELLNESS คือ กาแฟควบคุมน้ำหนัก Lansley Diet Coffee Plus ซึ่งตอบโจทย์เทรนด์สุขภาพ มีกระแสตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ อีกทั้งช่องทางการจำหน่ายใหม่เข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายเติบโตขึ้น ปัจจุบันตลาดต่างประเทศมีสินค้าวางจำหน่ายใน 12 ประเทศ ประกอบด้วย จีน ซาอุดิอาระเบีย ฮ่องกง ไต้หวัน อินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา พม่า ลาว มาลเซีย อินเดีย ญี่ปุ่น
ช่องทางอีคอมเมิร์ช ยอดขายเพิ่มขึ้น 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เนื่องจากการเพิ่มความสามารถการนำฐานข้อมูลลูกค้าเก่าและใหม่มาใช้มากขึ้น เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมความสนใจผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกัน และพัฒนาแพลตฟอร์มและแคมเปญการตลาดให้มีความหลากหลายทั้งในเว็บไซต์ของ BEAUTY BUFFET และ Market Place ชั้นนำ อาทิ KONVY Shopee Lazada ประกอบกับทำการตลาดใน Social Media เน้นการขายสินค้าโดย Affiliate Marketing และ Drop Ship อาทิ TIKTOK และการ Live Streaming ในเฟสบุ๊คเพจของ BEAUTY BUFFET เพิ่มช่องทางการชำระเงินผ่าน Line Pay และได้เปิดตัวแอปพลิเคชั่น "Beauty Buffet Club" ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า ซึ่งเป็นศูนย์รวมข่าวสารและโปรโมชั่นพิเศษสำหรับสมาชิก รวมถึงสะสมแต้มเพื่อแลกส่วนลดจากแบรนด์ชั้นนำที่ร่วมรายการ เพื่ออำนวยความสะดวกและตอบสนองความต้องการของลูกค้าสมาชิกที่มีอยู่กว่า 3 ล้านราย อีกทั้งกำลังซื้อจากต่างประเทศในช่องทาง Ecommerce ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ช่องทางโมเดิร์นเทรด ยอดขายเพิ่มขึ้น 55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นผลมาจากกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ช่องทาง Modern Trade อาทิ King Power ซึ่งเป็นช่องทางจำหน่ายที่มีนักท่องเที่ยวจีนมาซื้อเริ่มมีแนวโน้มที่ดี อีกทั้งการขยายช่องทางสินค้าอุปโภค (Consumer Product) เช่น บิ๊กซี โลตัส ท็อปส์ วัตสัน CJ Express ฯลฯ และเจอร์เนอร์รัลเทรด กระจายสินค้าผ่านตัวแทนจำหน่ายไปสู่ร้านค้าปลีกในระดับอำเภอ โดยปรับรูปแบบสินค้าให้มีขนาดและราคาที่เหมาะสมกับกำลังซื้อ ความต้องการของผู้บริโภค และคัดเลือกตัวแทนจำหน่ายที่มีศักยภาพในพื้นที่ต่างๆ โดยสิ้นปีนี้มีจำนวนรวม 3,219 จุดจำหน่าย