นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) กล่าวว่า แผนการดำเนินงานในปี 67 บริษัทตั้งเป้า EBITDA เติบโต 8-12% จากปีก่อน 5,694 ล้านบาท และรายได้เติบโต 12% ตามประมาณการจำหน่ายน้ำมัน ปัจจับสนับสนุนมาจากเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตได้ดี รวมถึงปัจจัยภายในของบริษัทที่มีการยกระดับการให้บริการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น รวมถึงการเข้ามาใช้บริการซ้ำของลูกค้ากลุ่มผู้ถือบัตร PT Max Card และ Max Card Plus ที่มีมากขึ้นตามลำดับ
แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 1/67 ยังเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้า และช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงยังได้ปัจจัยหนุนจากการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเข้ามาเสริมด้วย ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่าปริมาณการขายน้ำมันปีนี้จะเติบโต 10-12% ตามเป้าที่วางไว้
บริษัทยังคงวางเป้าการขยายสถานีบริการน้ำมันในปี 67 ไว้ที่ 2,251 แห่ง ควบคู่ไปกับการปรับปรุงสถานีบริการเดิมให้มีความทันสมัย และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้สามารถเข้าถึงความ "อยู่ดี มีสุข" ภายใต้ระบบนิเวศของบริษัทฯ ได้อีกด้วย
ด้านธุรกิจ Non-Oil วางเป้าการเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 40-50% โดยคาดว่าปริมาณจำหน่ายก๊าซ LPG ปีนี้จะเติบโต 30-40% จาก 1. กลุ่ม Auto LPG ยกระดับประสบการณ์ให้แก่ลูกค้าด้วยงานบริการ ส่งเสริมยอดขาย และครองส่วนแบ่งการตลาด อันดับ 1 ด้วยโครงการ "Taxi Transform" และ "Auto Transform" รวมถึงการใช้กลยุทธ์ทำงานด้านการตลาดผ่านระบบสมาชิก บัตร PT Max Card เพื่อรักษาและขยายฐานลูกค้า
2. กลุ่มก๊าซครัวเรือนและอุตสาหกรรมด้วยการมุ่งรักษาฐานลูกค้าหลักเดิม และหาฐานลูกค้าใหม่ รวมถึงการนำเสนอโปรโมชั่นการขาย และการรับรู้แบรนด์ PT แก่ลูกค้า และ 3. เน้นการขยายจำนวนสถานีบริการ Auto LPG และ Gas Shop เป็น 788 สาขา จากที่มีอยู่ 573 สาขา ณ สิ้นปี 66
ส่วนธุรกิจร้านกาแฟพันธุ์ไทย บริษัทเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ศักยภาพ อาทิ ย่านใจกลางเมือง ย่านธุรกิจกำลังซื้อสูง (CBD) หัวเมืองใหญ่ ศูนย์การค้าหรือห้างสรรพสินค้า สถานที่ราชการ โรงพยาบาล และมหาวิทยาลัย ซึ่งในปัจจุบันกาแฟพันธุ์ไทยมีสาขากว่า 900 สาขา ตั้งเป้าขยายเพิ่มอีก 400 สาขาทั่วประเทศไทยเข้าสู่ระดับอำเภอที่มีศักยภาพ เพื่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศไทยรวมจำนวนกว่า 1,300 สาขาภายในปี 67 และจะขยายสาขาในต่างประเทศหลังจากนำร่องเปิดร้านกาแฟ ปัน คาเฟ่ ในสปป.ลาวไปแล้ว
ขณะที่ธุรกิจอื่น ๆ ภายใต้ Max World บริษัทฯ ยังคงวางแผนขยายสาขาและ Touchpoints อย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้วางเป้าจำนวนสาขาธุรกิจ Non-Oil อื่น ๆ เป็น 961 Touchpoints เพิ่มขึ้น 329 Touchpoints โดยมีการขยายจำนวนหลัก ๆ มาจากสถานีอัดประจุไฟฟ้า Elex by EGAT PT เพื่อรองรับการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ศูนย์บริการ และซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs และสาขาร้านสะดวกซื้อ Max Mart เป็นต้น
ส่วนการเติบโตของกำไรสุทธิในปีนี้ บริษัทฯ ยังคงกังวลต่อนโยบายภาครัฐ ที่จะเข้ามาควบคุมค่าการตลาด รวมไปถึงการขึ้นค่าแรง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ส่งผลให้ต้นทุนของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นยังกดดันความสามารถในการทำกำไร ทำให้บริษัทเดินหน้าขยายธุรกิจ Non-oil เพื่อผลักดันอัตราการทำกำไรให้อยู่ในระดับที่ดี
ในปีนี้บริษัทวางงบลงทุนรวม 4,000-5,000 ล้านบาท แบ่งเป็น การขยายสถานีบริการน้ำมัน 1,000-1,500 ล้านบาท, LPG 800-1,000 ล้านบาท, ร้านกาแฟพันธุ์ไทย 500-1,000 ล้านบาท และอื่นๆ (Non-oil) อีก 500-1,000 ล้านบาท รวมถึงคาดว่าจะลงทุนในธุรกิจใหม่ 1,000-1,500 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถปิดดีลเพิ่มเติมอีก 1-2 ดีลในธุรกิจอาหารเพื่อเข้ามาเสริม Ecosystem ของ PTG ได้ภายในปีนี้
นายพิทักษ์ กล่าวต่อว่า ภายในปี 70 บริษัทฯ ตั้งเป้าครองส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันผ่านช่องทางสถานีบริการมากกว่า 25% และวางเป้าหมายปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย 12% ต่อปี ผ่าน 3 กลยุทธ์ ได้แก่ 1. Expansion & Renovation 2. Service Innovation 3. Data Optimization พร้อมตั้งเป้าฐานสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 30 ล้านสมาชิก
ส่วนร้านกาแฟพันธุ์ไทยมุ่งขยายสาขาร้านในรูปแบบของ "แฟรนไชส์" มากขึ้น ทั้งภายในและนอกสถานีบริการน้ำมันเป็นจำนวนรวม 5,000 สาขาครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ รวมถึงขยายออกสู่ตลาดต่างประเทศเช่น ลาว พร้อมพัฒนาและมุ่งหาธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศของ PTG ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค
*ตั้งเป้าชิงมาร์เก็ตแชร์เบอร์ 2 นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยภายในปี 67
นายปกเขตร รัชกิจประการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัด (Maxbit) กล่าวว่า หลังจากเริ่มดำเนินการธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งประกอบด้วย 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทนายหน้าซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี และประเภทนายหน้าซื้อขายโทเคนดิจิทัล ไปเมื่อวันที่ 10 พ.ย.66
ในปี 67 บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีสมาชิกเทรดประมาณ 350,000 ราย และด้วยวิสัยทัศน์ คือ การปฏิวัติอุตสาหกรรมบริการ cryptocurrency ในประเทศไทยจากความเข้าใจและสร้างสรรค์ร่วมกัน ทำให้มั่นใจ บริษัทจะมีมาร์เก็ตแชร์โตเป็น 9%-10% และก้าวสู่เบอร์ 2 ของกลุ่มตลาดนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ซึ่งเชื่อมั่นว่า Maxbit จะสามารถนำจุดแข็งของ PTG ที่มีสมาชิก Max Card กว่า 21.5 ล้านสมาชิก รวมถึง Touchpoints กว่า 1.5 ล้าน Touchpoints ของ Max Me มาต่อยอดเป็นลูกค้าของ Maxbit โดยกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มลูกค้าในช่วงวัยทำงานและผู้ที่สนใจในด้านการลงทุน โดยมั่นใจว่าเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่สามารถสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้แก่ PTG ได้อย่างมีนัยสำคัญ