นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด (Property DNA) กล่าวว่า ในช่วงปี 66 เป็นช่วงเวลาที่ท้าทายในการดำเนินธุรกิจทุกประเภท แม้ว่าปัจจัยเรื่องโรคระบาดที่มีผลต่อการดำเนินกิจกรรมต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศจะไม่มีแล้วก็ตาม แต่ด้วยผลกระทบจากช่วงที่เกิดโควิด-19 ในปี 63-65 ที่มีผลต่อเนื่องถึงการดำเนินธุรกิจและการใช้ชีวิต ส่งผลให้การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของคนไทยไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียมเป็นเรื่องที่ต้องคิดให้ละเอียดรอบคอบ ประกอบกับความเข้มงวดในการพิจารณาสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงินต่างๆ ก็เป็นความท้าทายของตลาดธุรกิจการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย
ผู้ประกอบการหลายรายมีการปรับเปลี่ยนแผนการดำเนินธุรกิจทั้งการลดการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม และเพิ่มสัดส่วนในโครงการบ้านจัดสรร รวมไปถึงการเพิ่มโครงการราคาแพงออกมาขายมากขึ้น ซึ่งมีผู้ประกอบการบางรายที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มผู้ซื้อระดับบน นอกจากนี้การเร่งปิดการขายและโอนกรรมสิทธิ์บ้านและคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้วหรือกำลังจะเสร็จเพื่อที่ผู้ประกอบการจะได้เงินสดเข้ามาหมุนเวียนในบริษัทมากขึ้น ซึ่งดูแล้วปัจจัยความท้าท้ายต่างๆเหล่านี้ กลุ่มผู้ประกอบการต่างมีแนวทางการบริหารจัดการที่ดี
โดยเมื่อผลประกอบการออกมามีผู้ประกอบการบางรายที่มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 65 แม้ว่า ณ ปัจจุบันอาจจะยังมีการประกาศออกมาไม่ครบทุกบริษัท แต่ก็สามารถพิจารณาได้ว่าผู้ประกอบการรายใดมีผลประกอบการที่ดีขึ้นทั้งในแง่ของรายได้ และกำไร บมจ.แสนสิริ (SIRI) เป็นผู้ประกอบการที่มีกำไรในปี 66 มากที่สุด โดยมีกำไรที่ 6,060 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบกับปี 65 และรายได้อยู่ที่ 39,082 ล้านบาท เพิ่มขั้นประมาณ 12% จากปีที่แล้ว
บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (AP) มีรายได้และกำไรเป็นอันดับที่ 2 คือ มีรายได้ 38,399 ล้านบาท ลดลงจากปี 65 ประมาณ 1% กำไรที่ 6,054 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 3%
ทั้ง SIRI และ AP นอกจากจะเปิดขายโครงการใหม่มากแล้ว ยังมีการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งบ้าน และคอนโดมิเนียมต่อเนื่อง รวมไปถึงการเร่งปิดการขายโครงการที่สร้างเสร็จแล้ว พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ นอกจากนี้โครงการราคาแพงของทั้ง 2 บริษัทยังได้รับการตอบรับที่ดีโดยเฉพาะแสนสิริที่หลายโครงการของพวกเขาปิดการขายได้ภายในระยะเวลาไม่นาน แม้ว่าราคาขายเริ่มต้นจะไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาทก็ตาม
ขณะที่ บมจ.ศุภาลัย (SPALI) มีกำไรและรายได้มาเป็นอันดับที่ 3 ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับปี 65 โดยรายได้ปี 66 อยู่ที่ 31,818 ล้านบาท ลดลงราว 10% และกำไร 5,989 ล้านบาท ลดลง 15% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
นายสุรเชษฐ กล่าวว่า หลายบริษัทอสังหาริมทรัพย์มีรายได้มากขึ้นและเพิ่มขึ้นในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก แต่ไม่ได้มากมายนักเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการบางรายที่มีทั้งรายได้และกำไรอันดับต้นๆ แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นได้ชัดเจน คือ กำไรที่ลดลง อาจเกิดจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการหรือกิจกรรมทางการขายมากขึ้น รวมไปถึงการลดราคาหรือยอมขาดทุนกำไรบ้างเพื่อที่จะได้ปิดการขายได้ จึงอาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้กำไรของผู้ประกอบการบางรายลดลง
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงมีรายได้และกำไรอยู่ ไม่มีผู้ประกอบการรายใดที่ขาดทุน โดยเฉพาะบางรายอย่าง บมจ.ควอลิตี้เฮ้าส์ (QH) อาจจะมีกำไรมาก แต่รายได้น้อยมาก เพราะมีรายได้จากธุรกิจอื่นๆ เข้ามาเสริม เช่น อาคารสำนักงานให้เช่า โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเม้นต์ แม้จะเปิดขายโครงการใหม่ได้ไม่มากเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการ 5 อันดับแรก
ผลประกอบการด้านบนนี้ ยังไม่ได้รวม บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) ที่หลายปีที่ผ่านมาเปิดขายโครงการใหม่ไม่มากเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ แต่รายได้จากธุรกิจอื่นๆ ของ LH มีค่อนข้างมาก ดังนั้นเป็นไปได้ที่รายได้ และกำไรในปี 66 อาจจะมากกว่าผู้ประกอบการหลายรายในตลาด
รายได้และกำไรที่ลดลงของผู้ประกอบการบางรายในปี 66 ยังคงมีช่องทางในการพลิกกลับมาในปี 67 เพราะผู้ประกอบการบางรายมีการประกาศแผนการเปิดขายโครงการใหม่ออกมาแล้ว โดยผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายมีการเปิดขายโครงการมากขึ้นเมื่อเทียบกับปี 66 และปัจจัยลบบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับกำลังซื้ออาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในปี 66 อีกทั้งมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองของที่อยู่อาศัยไม่เกิน 3 ล้านบาทยังคงมีต่อในปี 67 ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดีของผู้ประกอบการบางรายที่มีโครงการระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ในปี 67
อีกทั้งกำลังซื้อต่างชาติในตลาดคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้นแน่นอน ทั้งคนจีน รัสเซีย และพม่าที่เข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น เพียงแต่ปัญหาใหญ่ยังคงอยู่ที่เรื่องของการพิจารณาสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีความเข้มงวดมาก และกระทบกับกลุ่มกำลังซื้อที่อยู่อาศัยที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทขึ้นมาถึงกึงระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาทต่อยูนิต ผู้ประกอบการหลายรายจึงพยายามเปิดขายโครงการใหม่ที่เลี่ยงกลุ่มระดับราคานี้ในปี 67 และพยายามเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อบ้านราคาแพงซึ่งไม่ค่อยมีปัญหาในการขอสินเชื่อธนาคาร ซึ่งผู้ประกอบการบางราย เช่น แสนสิริ และบมจ.เอสซี แอสเสท (SC) รวมไปถึงแลนด์แอนด์เฮ้าส์ทำได้ดีมาโดยตลอด