นายสินนท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บ้านปู (BANPU) คนใหม่ที่จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 2 เม.ย.นี้ ประกาศนโยบายการดำเนินงานในปี 67-68 สานต่อกลยุทธ์ Greener & Smarter เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และเร่งทรานฟอร์มสู่พลังงานยั่งยืน มุ่งเน้นการสร้างกระแสเงินสดให้เติบโตอย่างแข็งแรงผ่านการลดต้นทุนอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งสร้างการเติบโตทางด้านพลังงานในประเทศหลักทั้งอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย สหรัฐ และจีน
ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายมีสัดส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ของธุรกิจพลังงานสะอาดให้มีสัดส่วนมากกว่า 50% ภายในปี 68 จากปัจจุบันอยู่ที่ 30-40%
"การที่เราอยู่ใน Up Stream ทำให้เรามองภาพของ Energy Outlook ได้ไกลมากขึ้น และวางแผนได้แม่นยำมากขึ้น โดยจะเห็นได้ว่าทุกประเทศ มุ่งเน้นไปยังพลังงานสะอาด แต่ก็ยังมีความต้องการถ่านหินในประเทศสหรัฐ ญี่ปุ่น จีน อินเดีย หรืออาเซียน ทำให้ต้องมีการบาลานซ์กันระหว่างพลังงานหมุนเวียนกับพลังงานเชื้อเพลิงอื่นๆ ในช่วงระยะกลางถึงยาว"นายสินนท์ กล่าว
ในประเทศหลักๆ ที่ BANPU มีธุรกิจอยู่ ถือว่ามีการเติบโตในประเทศเศรษฐกิจที่แข็งแรง และอยู่ในธุรกิจพลังงานที่หลากหลาย ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ โดยมีการเสริมด้าน Synergy การ Diversification ของ Value Chain พลังงานทั้งหมด
"ด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปี มองว่า Value ยังอยู่ที่ Up Stream ค่อนข้างมาก ทำให้การมองไปข้างหน้าเราได้เปรียบในการที่เราอยู่ใน Up Stream แต่ความชอบของผมอยู่ที่ Down stream และ Climate Tech ตั้งแต่ที่ผมไปอยู่ที่ บ้านปู เน็กซ์ มาก็ได้เสริมสร้าง Synergy ของ บ้านปู เน็กซ์ ให้มีครบถ้วนมากขึ้น ในเรื่องของ Net Zero Solution และเติบโตไปในเอเชียแปซิฟิกได้" นายสินนท์ กล่าว
สำหรับสิ่งที่จะมุ่งเน้นมากขึ้น คือ เรื่องของ Decarbonization และ ดิจิทัล รวมถึง AI ที่เป็นเทรนด์ เพื่อสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจที่มีอยู่ ทั้งถ่านหิน,ก๊าซธรรมชาติ, Power Generation รวมถึง Energy Technology ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น
ส่วนประเทศหลักๆ ที่จะมุ่งเน้น คือ อินโดนีเซีย มองอีกไม่กี่ปีข้างหน้าจะเป็น Top 4 ที่มีอัตราเติบโตของ GDP สูงสุดในโลก โดยนอกเหนือจากการดำเนินธุรกิจถ่านหิน บริษัทได้ตั้งทีมเพื่อศึกษาลงทุนธุรกิจโซลาร์รูฟท็อป และ Energy Management คาดว่าจะเป็นส่วนที่สร้างการเติบโตได้ในอนาคต รวมถึงธุรกิจแบตเตอรี่ด้วย อีกทั้งยังมองโอกาสที่จะขยายการลงทุนไปในธุรกิจเหมืองแร่ เช่น นิคเกิล, ทองแดง (Copper), ทองคำ (Gold)
ด้านธุรกิจในจีน จะมุ่งเน้นไปที่ Renewable มากขึ้น หลังจากได้เริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว รวมถึงในเรื่องของ Battery Manufacturing ด้วย คาดว่าในอนาคตอันใกล้จะมีกำลังการผลิตแบตเตอรี่ในจีนมากขึ้น
ในออสเตรเลีย BANPU ยังเป็นผู้ผลิตถ่านหิน และเน้น Energy Trading เนื่องจากตลาดออสเตรเลียเป็นตลาดเสรี ทำให้ราคาพลังงาน หรือราคาค่าไฟฟ้า ขึ้นลงตามซัพพลายเชน โดยบริษัทมีทีม Energy Trading ทำเรื่อง Arbitraging ค่าไฟ หรือเทรดดิ้งไฟฟ้า และใช้แบตเตอรี่ในการทำแบตเตอรี่ฟาร์ม และเทรดไฟฟ้าได้มากขึ้น
ขณะที่สหรัฐ BANPU ถือเป็นผู้ผลิตก๊าซฯที่ใหญ่ที่สุดในรัฐเท็กซัส และยังเป็นผู้ผลิต CCUS รายแรกในแหล่งก๊าซบาร์เนตต์ คาดว่าจะได้ประสิทธิผลออกมามากขึ้นในปีนี้ รวมถึงการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ Temple II ในสหรัฐ ก็น่าจะสร้างการเติบโตต่อเนื่องในปีนี้เช่นกัน
นายสินนท์ กล่าวถึงกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีพลังงาน ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด ยังเน้นเรื่องของ Greening กลุ่มบ้านปูทั้งหมด ในการที่สามารถนำเอาธุรกิจโซลูชั่นพลังงานสีเขียวไป implement กับกลุ่มธุรกิจบ้านปู และลูกค้าในเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ยังทำเรื่อง Climate Tech และ Technology เพื่อนำมาใช้ในธุรกิจ
BANPU วางงบลงทุนรวมในปีนี้ไว้ที่ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ โดย 50% จะรองรับการลงทุนในธุรกิจก๊าซธรรมชาติ และอีก 50 % จะลงทุนในพลังงานสะอาดของ บริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด ซึ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับแบตเตอรี่มากขึ้น เนื่องจากสามารถสร้างกระแสเงินสดได้มากกว่าโซลาร์ หรือพลังงานลม
พร้อมกันนี้ ยังมองโอกาสขยายการลงทุนในรูปแบบการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ในธุรกิจเหมืองแร่ทองคำ ทองแดง ในประเทศอินโดนีเซีย และลาว เนื่องจากมีซัพพลายค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย บริษัทย่อยก็พยายามกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจถ่านหิน จึงได้มองความเชี่ยวชาญของทีมที่มีอยู่ในการขยายไปในธุรกิจที่สามารถเข้าไปดำเนินการได้ทันที เช่น Mining Engineers, นักธรณีวิทยา เป็นต้น คาดว่าจะมีความชัดเจนได้ในเร็วๆ นี้
บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาการใช้พลังงานแอมโมเนียและไฮโดรเจนมาเป็นพลังงานสะอาดในโรงไฟฟ้า คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.นี้ เพื่อผลักดันแผนลดคาร์บอนในการผลิตไฟฟ้า ตามกลยุทธ์ "Greener & Smarter" เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และต่อยอดการส่งมอบพลังงานที่ยั่งยืนสู่เป้าหมาย Net Zero ในอนาคต
ด้านธุรกิจถ่านหินในปีนี้ บริษัทฯ จะไม่มีการลงทุนเพิ่มเติมแล้ว โดยวางเป้าหมายปริมาณการขายรวมไว้ที่ 38 ล้านตัน แบ่งเป็น อินโดนีเซีย เพิ่มเป็น 26.1 ล้านตัน จากปีก่อนทำได้ 21 ล้านตัน, ออสเตรเลีย เพิ่มเป็น 8.8 ล้านตัน จากปีก่อน 7.0 ล้านตัน และจีน เพิ่มเป็น 10 ล้านต้น จากปีก่อน 6.5 ล้านตัน โดยมองว่ายังมีความต้องการใช้ถ่านหินในประเทศดังกล่าวอยู่ค่อนข้างมาก
แผนการนำบริษัทย่อย BKV Corporation (BKV) ผู้ประกอบธุรกิจก๊าซธรรมชาติและโรงไฟฟ้าก๊าซรายใหญ่ของสหรัฐฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์คนั้น บริษัทกำลังอยู่ระหว่างติดตามสถานการณ์ราคาก๊าซ ซึ่งหากปรับตัวดีขึ้นก็มีโอกาสที่จะดำเนินการได้ โดยเชื่อว่าจะมีสัญญาณที่ดีในช่วงครึ่งหลังของปี 67