บมจ. แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น (BKGI) เสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 160,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาท ในราคาเสนอขาย 1.63 บาทต่อหุ้น มูลค่ารวม 260,800,000 บาท ระยะเวลาขาย วันที่ 12-14 มีนาคม 2567 และเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ (SET) ในวันที่ 20 มีนาคม 2567 หมวดบริการ/การแพทย์ โดยบล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
การเสนอขายหุ้น IPO จะแบ่งเป็น
1. เสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ จำนวนไม่น้อยกว่า 120,000,000 หุ้น
2 เสนอขายให้แก่ผู้มีอุปการคุณของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 24,000,000 หุ้น
3. เสนอขายให้แก่ กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 16,000,000 หุ้น
การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทที่เสนอขายในครั้งนี้ พิจารณาจากอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio : P/E) ทั้งนี้ ราคาหุ้นที่เสนอขายหุ้นละ 1.63 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ เท่ากับ 30.43 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 32.14 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ หลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 600.00 ล้านหุ้น (Fully Diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings Per Share) เท่ากับ 0.05 บาท ทั้งนี้ อัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) ดังกล่าว คำนวณจากผลประกอบการในอดีต 4 ไตรมาสย้อนหลัง โดยที่ยังมิได้พิจารณาถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
ทั้งนี้ สัดส่วนหุ้นของ"ผู้มีส่วนร่วมในการบริหาร"ที่ไม่ติด Silent Period จำนวนไม่เกิน 58,108,000 หุ้น คิดเป็น 9.68% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ (พิจารณาจากผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ณ ปัจจุบัน) อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ถือหุ้นดังกล่าวยินยอมให้หุ้น BKGI ที่ตนถืออยู่ทั้งหมดถูกจำกัดการขายภายใน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ตามความสมัครใจของกลุ่มผู้ถือหุ้นดังกล่าว
นางสาวเสาวลักษณ์ ด่านสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BKGI กล่าวว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานของ BKGI ในช่วงที่ผ่านมามีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากการที่ บริษัทฯ มีการให้บริการครอบคลุมทุกช่วงชีวิต ในราคาที่เข้าถึงได้ โดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจหลักคือ การให้บริการตรวจคัดกรองความผิดปกติทางพันธุกรรมด้านอนามัยเจริญพันธุ์ โดยรายได้ในการให้บริการด้านอนามัยเจริญพันธ์ของบริษัทฯ ดังกล่าว ในช่วงปี 2563 - 2566 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 23.40% ต่อปี
ขณะที่ในปี 67 คาดเติบโตต่อเนื่องจากปี 66 สอดคล้องกับการเติบของอุตสาหกรรม และความต้องการใช้บริการที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการที่ภาครัฐให้การสนับสนุนแผนจีโนมิกส์ประเทศไทย หนุนการเติบโตของบริษัท
บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ จำนวน 245.57 ล้านบาท ภายในปี 2569
"การระดมทุนในครั้งนี้จะนำเงินที่ได้มาใช้ในการผลักดันการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระยะยาว โดยเฉพาะแผนการขยายธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์จีโนมิกส์ (Genomics) และด้วยการสนับสนุนของกลุ่ม BGI จะยิ่งเพิ่มศักยภาพของบริษัทฯ ช่วยสนับสนุนผลงานเติบโตอย่างก้าวกระโดด และเพิ่มความสามารถในการทำกำไรได้มากขึ้น สอดรับธุรกิจเมกะเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมสูงในยุคปัจจุบัน"
ทั้งนี้ BKGI ประกอบให้บริการตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์ โดยนำเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยที่ได้รับการถ่ายทอดจากกลุ่ม BGI ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำการถอดรหัสพันธุกรรมของโลก มาใช้ในการพัฒนาการตรวจวเคราะห์ของ BKGI เพื่อให้ประชากรไทยมีสุขภาพที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืนในอนาคต
โดยลักษณะการประกอบธุรกิจ สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. ธุรกิจการให้บริการตรวจคัดกรองและวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่
1) การตรวจคัดกรองความผิดปกติทางพันธุกรรมด้านอนามัยการเจริญพันธุ์
2) การตรวจวิเคราะห์กลุ่มโรคติดเชื้อ เช่น การตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อก่อโรคโควิด-19 และการตรวจภูมิคุ้มกัน
3) การตรวจคัดกรองอื่นๆ ได้แก่ การตรวจคัดกรองกลุ่มยีนที่มีความสัมพันธ์กับโรคมะเร็ง และการตรวจคัดกรองโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมอื่นๆ และ
4) การให้บริการงานด้านเทคโนโลยี
2. ธุรกิจการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อื่นๆ (Other Products) เช่น ชุดอุปกรณ์สำหรับการเก็บสิ่งส่งตรวจ น้ำยาตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสโควิด-19 และน้ำยาตรวจภูมิคุ้มกันต่อเชื้อโควิด-19 และชุดอุปกรณ์สำหรับตรวจความผิดปกติทางพันธุกรรมแบบครบวงจร เป็นต้น รวมทั้งในอนาคต จะมีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ให้กับลูกค้าที่ใช้บริการถอดรหัสทางพันธุกรรมเฉพาะบุคคลอย่างละเอียด ตามคำแนะนำของแพทย์