นายวิกร ภูวพัชร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ฟังก์ชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล (FTI) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรรายใหญ่ ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จีนเพื่อชักชวนให้เข้ามาร่วมลงทุนตั้งฐานการผลิตมอเตอร์เครื่องกรองน้ำในประเทศไทยในนิคมอุตสาหกรรมของบริษัทขนาด 40 ไร่ใน จ.ฉะเชิงเทรา พื้นที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากการเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)
และมีแนวคิดจะจัดตั้งพื้นที่ฟรีเทรดโซนในนิคมดังกล่าวด้วยเพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ในการผลิตเพื่อการส่งออก เชื่อว่าจะดึงดูดการลงทุนจากจีนมาได้มากขึ้น ในขณะที่สินค้าจีนกำลังเผชิญปัญหากำแพงภาษีทั่วโลก ทำให้ผู้ประกอบการจีนมองหาพื้นที่ตั้งฐานการผลิตในประเทศอื่น โดยเฉพาะในอาเซียน คือ ไทยและเวียดนาม
นอกจากนั้น บริษัทยังมีการเจรจาความร่วมมือกับพันธมิตรจีนรายอื่น ๆ เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง หลังจากร่วมกับพันธมิตรจีนแล้ว 2 รายจัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศไทย 3 บริษัท เพื่อผลิตและประกอบไส้กรองระบบกรองน้ำ, ผลิตและประกอบหม้อแปลง (Transformer) สำหรับระบบกรองน้ำ, ผลิตและประกอบอุปกรณ์ Booster pump สำหรับระบบกรองน้ำ ในนิคมดังกล่าวเพื่อจัดจำหน่ายให้กับตลาดในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยจะเริ่มรายรู้ได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/67
นายวิกร กล่าวว่า ในอดีตธุรกิจของบริษัทคือเทรดดิ้งระบบบำบัดน้ำ กรองน้ำ โดยนำเข้าสินค้าชิ้นส่วนและอุปกรณ์จากจีนเข้ามาประกอบในไทย แต่หลังจากมีความร่วมมือกับพันธมิตรจีนแล้ว บริษัทจะสามารถลดการพึ่งพาการนำเข้าชิ้นส่วนต่าง ๆ ลง เชื่อว่าจะช่วยทำให้อัตรากำไรดีขึ้น และสามารถรองรับการเติบโตในอนาคตได้มากขึ้น ซึ่งบริษัทจะเดินหน้าผลิตอุปกรณ์ส่วนประกอบต่าง ๆ ในประเทศให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยขณะนี้บริษัทมีสินค้าจำหน่ายมากกว่า 4 พันรายการ
บริษัทตั้งเป้ารายได้สำหรับปี 67 อยู่ที่ระดับ 930 ลบ. หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตไม่น้อยกว่า 20% โดยแผนธุรกิจในปีนี้จะเดินหน้าขยายธุรกิจในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการใช้กลยุทธ์ในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่องทั้งเครื่องกรองน้ำ ชุดกรองน้ำ ระบบผลิตน้ำอ่อน ชุดกรองน้ำที่สามารถใช้คู่กับฝักบัวอาบน้ำ ระบบบริหารจัดการน้ำอุตสาหกรรม เป็นต้น
และการเดินหน้าขยายสาขา Water Stores เพิ่มอีก 2 สาขาเป็น 23 สาขาจากในปัจจุบันที่มี 21 สาขา เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าขายส่งเพื่อผู้ประกอบอาชีพระบบกรองน้ำ และครัวเรือนทั่วไป และการขยายสาขา Aquatek Shops อีก 21 สาขาเป็น 30 สาขา จากในปัจจุบันที่มี 9 สาขา เพื่อขยายกลุ่มลูกค้าครัวเรือนระดับ High End ที่มี Life Style ใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ทั่วประเทศ ซึ่งจะช่วยหนุนยอดขายของบริษัทให้เติบโตขึ้นในอนาคต
"ปีนี้เราตั้งเป้าเติบโตไม่น้อยกว่า 20% โดยตั้งเป้ายอดขายแตะ 930 ล้านบาท แม้จะมีหลายปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบ เช่น ต้นทุนสินค้าที่ปรับขึ้น ความผันผวนของค่าเงินบาทคู่แข่งทางการค้า เป็นต้น แต่เราก็ได้มีการเตรียมพร้อม วางแผนเพื่อรับมือ และควบคุมปัจจัยภายนอกเป็นอย่างดี รวมถึงปรับปรุงขบวนการทำงานภายในอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะสามารถทำยอดขายของปี 67 ให้เป็นไปตามเป้าหมาย" นายวิกร กล่าว