บมจ.แบงคอกจีโนมิกส์อินโนเวชั่น (BKGI) หุ้นถอดรหัสลับพันธุกรรมตัวแรกในตลาดหลักทรัพย์ (SET) เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 160 ล้านหุ้น ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน คว้าโอกาสเติบโตตามเมกะเทรนด์โลก ดีเดย์เทรด 20 มี.ค.67
BKGI เป็นผู้ประกอบกิจการห้องแล็บและให้บริการตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์ ปัจจุบันมีผู้ถือหุ้นใหญ่ 51% คือ BGI Health (HK) กลุ่มบริษัทใหญ่จากจีนที่ศึกษาวิจัยการถอดรหัสพันธุกรรมของมนุษย์ สนับสนุนและถ่ายทอดเทคโนโลยีที่ทันสมัยให้กับ BKGI โดยรายได้หลักของ BKGI มาจาก 2 ธุรกิจ คือ ให้บริการตรวจคัดกรองและวิเคราะห์ทางห้องแล็บ 98% และส่วนที่เหลือมาจาก ธุรกิจขายผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง
นางสาวเสาวลักษณ์ ด่านสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BKGI เปิดเผยกับ "อินโฟเควสท์" ว่า จุดเด่นของเราคือสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีที่มีคุณภาพ เนื่องจากการตรวจคัดกรองความผิดปกติของโครโมโซมทารกในครรภ์จากเลือดมารดาภายใต้แบรนด์ NIFTY เป็นนวัตกรรมของ BGI บริษัทแม่ ทำให้สามารถคุมค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้ดี รวมถึงแล็บในไทยสามารถทำได้ตั้งแต่เริ่มต้นยันออกผลเลย ช่วยในแง่ของความรวดเร็วทันเวลา
และอีกหนึ่งจุดเด่น คือธุรกิจของ BKGI อยู่ในเมกะเทรนด์ของโลก จะเห็นได้ว่ามูลค่าเศรษฐกิจสุขภาพทั่วโลกมีการเติบโตขึ้น ส่วนการตรวจพันธุกรรมก็เข้ามามีบทบาทในชีวิตมากขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของคนป่วย แต่ใช้กับการดูแลสุขภาพ เช่น การคัดกรองโรค การตรวจวินิจฉัยโรค การป้องกันการแพ้ยา เลือกชนิดยาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เป็นต้น
นอกจากนี้ การเติบโตของตลาดรักษาผู้มีบุตรยากในปัจจุบันก็เป็นประโยชน์ต่อบริษัทเช่นกัน ในแง่การตรวจความสมบูรณ์ของสุขภาพทารก เนื่องจากลูกค้าของบริษัทก็คือกลุ่มคลินิครักษาผู้มีบุตรยาก (IVF Center) หลายแห่งในประเทศไทย ดังนั้น การที่ประเทศไทยมีหมอที่มีชื่อเสียงหรือการสนับสนุนให้ไทยเป็น Medical Hub ก็จะทำให้มีผู้ป่วยต่างชาติเข้ามามากขึ้นด้วย
ด้านนายกิตติคุณ รอดรังนก ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน BKGI เปิดเผยว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนราว 245.57 ล้านบาท ไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ และหากมีโอกาสทางธุรกิจด้านอื่น ๆ ที่น่าสนใจก็สามารถใช้เงินระดมทุนในส่วนนี้ได้ด้วย
สำหรับแผนธุรกิจระยะยาว 3-5 ปี บริษัทตั้งเป้ารักษาการเติบโตของรายได้ธุรกิจหลักให้แข็งแกร่ง จะเห็นว่าในช่วงปี 63-65 รายได้ธุรกิจให้บริการด้านอนามัยเจริญพันธุ์เติบโตราว 25% และในไตรมาส 3/66 เติบโตถึง 32% และอัตรากำไรขั้นต้นก็เติบโตดีขึ้นมาจากเดิมอยู่ที่ 29% (ในปี 62) เป็น 50% ในปัจจุบัน ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะรักษาการเติบโตของอัตรากำไรขั้นต้นในระดับนี้ได้
ขณะที่ธุรกิจการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง เช่น การจำหน่ายชุดตรวจพันธุกรรมให้กับแล็บของภาครัฐและโรงพยาบาลต่าง ๆ ในปีนี้บริษัทก็มีแผนจะบุกตลาดนี้มากขึ้น เชื่อว่าจะส่งผลให้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจการให้บริการตรวจคัดกรองและวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการจาก 98% จะเหลือ 80% และ ธุรกิจการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้อง 2% เพิ่มขึ้นเป็น 20% ในปี 68-69
https://youtu.be/x46idL237Ug