INTUCH ปรับกลยุทธ์เพิ่มการเข้าไปมีส่วนร่วมกับ ADVANC มากขึ้นเพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ดังนั้น กำไรปี 67 จึงอาจจะสูงกว่าในปี 66 ขณะที่เตรียมขาย VC ออก มองไม่กระทบกับ EPS แต่ช่วยเพิ่มกระแสเงินสด 571 ล้านบาท (0.17 บาท/หุ้น) ให้กับ INTUCH โดยยังคงประมาณการอัตราการเติบโตของ EPS ปีนี้ไว้ที่ 10.5% และ ประมาณการอัตราผลตอบแทนที่ 5% ในปี 67 เนื่องจากเน้นปรับปรุงความสามารถการทำกำไรของ ADVANC
บล.กรุงศรี ระบุว่า เรารู้สึกค่อนข้างประทับใจกับกลยุทธ์ ของบริษัทที่จะมุ่งเน้นลงทุนในธุรกิจหลัก โดยการลงทุนในระยะต่อไปจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับระบบนิเวศของ ADVANC เพื่อสนับสนุนการเติบโตในระยะยาวของธุรกิจหลัก
ณ สิ้นเดือน มี.ค. 66 ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ INTUCH ยังคงเป็นรายเดิม และ มีสัดส่วนการถือหุ้นเท่าเดิม ซึ่งได้แก่บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) 47.37% และ Singtel 24.99%
INTUCH ในฐานะที่เป็นบริษัท holding มีสองธุรกิจหลัก ได้แก่ ADVANC และ Venture capital (VC) โดยมูลค่าการลงทุนในส่วนของ VC อยู่ที่ประมาณ 571 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับมูลค่าการลงทุนใน ADVANC ของ INTUCH ที่ 2.48 แสนล้านบาท ดังนั้น บริษัทจึงต้องพึ่งพิง ADVANC อย่างมากทั้งในด้านของการทำกำไร, กระแสเงินสด และ DPS (
กลยุทธ์ของบริษัทในปี 67 คือ จะเข้าไปมีส่วนรวมในการบริหาร ADVANC มากขึ้นเพื่อให้กำไรเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว และ หาจังหวะเหมาะที่จะขาย VCs ทั้งหมดออกไป เนื่องจากนโยบายในปัจจุบันของ INTUCH คือจะถือหุ้นในระดับ ที่มีอำนาจควบคุมกิจการ (ปัจจุบัน INTUCH ถือหุ้นใน VC เพียงประมาณ 10%)
ยังคงประมาณการอัตราการเติบโตของกำไรปี 67 ที่ 10.5% yoy ข้อมูลที่ได้จากผู้บริหารของ INTUCH ยังค่อนข้างเป็นไปตามประมาณการของเรา ดังนั้น เราจึงยังคงประมาณการกำไรปี 67 เอาไว้ที่ 1.28 หมื่นล้านบาท (+10.5% yoy) และ ปี 68 ที่ 1.37 หมื่นล้านบาท (+7% yoy) โดยจะมาจากกำไรของ ADVANC เป็นหลัก
ทั้งนี้ ในประมาณการของเรา กำไรและเงินปันผลทั้งหมดของ INTUCH มาจากกำไรและเงินปันผลจาก ADVANC คงคำแนะนำ "ซื้อ" และ คงราคาเป้าหมายที่ 98 บาท (อิงจาก NAV ของADVANC หัก discount 5%) เนื่องจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ในเกณฑ์ดี คาดว่าจะอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในปี 67 จะอยู่ที่ 5.1% และปี 68 จะอยู่ที่ 5.5%