ซีอีโอใหม่ KCG ประกาศวิสัยทัศน์โตยั่งยืนพัฒสินค้าตามเทรนด์อาหารโลกหวังทำ All Time High ต่อเนื่อง

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday March 22, 2024 16:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายดำรงชัย วิภาวัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่ของ บมจ.เคซีจี คอร์ปอเรชั่น (KCG) เปิดวิสัยทัศน์สานต่อความสำเร็จพร้อมก้าวต่อ ภายใต้ "Transition Towards Sustainable Growth" สร้างองค์กรสู่การเติบโตที่มั่นคง ยั่งยืน และพร้อม สู่อนาคตที่กำลังเปลี่ยนแปลง พร้อมตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต Double Digit ทำ All Time High อย่างต่อเนื่อง

ในปี 67 บริษัทคาดว่ารายได้จะเติบโตต่อเนื่องจากปี 66 ที่สร้างสถิติเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มีรายได้จากการขาย 7,157 ล้านบาท เป็นการเติบโตทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยการเติบโตจากธุรกิจหลักในประเทศเน้นการกระจายสินค้าผ่านช่องทางที่เหมาะสม โดยในปีนี้ตั้งเป้าการเติบโตของรายได้กลุ่ม B2C และ B2C ที่เป็นลูกค้ารายใหญ่ไม่ต่ำกว่า 16% ขณะที่ธุรกิจการส่งออกหวังเติบโตมากกว่า Double Digit

สำหรับทิศทางไตรมาส 1/67 ยังเป็นไปตามเป้าที่วางไว้คาดว่าจะเติบโต โดยมี Momentum เชิงบวกจากการท่องเที่ยวที่กลับมาคึกคัก ขณะที่แนวโน้มราคาวัตถุดิบยังทรงตัว อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนในการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านต้นทุนวัตถุดิบ โดยมีทีมงานที่คอยติดตามราคาตลาดทั่วโลก กำหนดกรอบการซื้อล่วงหน้าเพื่อให้ได้ราคาดีกว่าราคาตลาด นอกจากนี้ในไตรมาส 3/67 บริษัทเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็น Food Innovation ดีต่อสุขภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

*กลยุทธ์เติบโต 2 มิติ

นายดำรงชัย กล่าวว่า ยุทธศาสตร์แรกด้านวัฒนธรรมองค์กร (Cultural Strategy) โดยยึดหลัก "Heart-driven - Expertise - Agile-Responsible - Teamwork" ด้วยความเชื่อมั่นว่าพนักงานเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะร่วมขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุสู่เป้าหมายสูงสุด

ส่วนยุทธศาตร์ทางธุรกิจ (Business Strategy) เพื่อบรรลุเป้าหมายสร้างอาณาจักรอาหารตะวันตก เนยและชีส ให้เติบโต มั่นคงและยั่งยืน จะอยู่ภายใต้การขับเคลื่อน 7 แกนหลัก ได้แก่ 1.) มุ่งสร้างการเติบโตทางธุรกิจ (Growth), 2.) การพัฒนาบุคลากร (People), 3.) การขับเคลื่ององค์กรด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี (Innovation Data & Tech), 4.) การขยายตลาดส่งออก (Export), 5.) ยกระดับศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าที่ทันสมัยและครบวงจร (Supply Chain & Inventory), 6 ยกระดับการผลิตโดยใช้ระบบอัตโนมัติ (Production& Automation) และ 7.) การส่งเสริมสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Sustainable Development)

นายธวัช ธีระนุสรณ์กิจ รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส KCG กล่าวถึงเทรนด์อุตสาหกรรมอาหารว่า สถานการณ์การแพร่ระบาด Covid-19 ที่ผ่านมา ได้สร้างอุบัติการณ์ใหม่ทางด้านโภชนาการอาหารทั่วโลก พฤติกรรมของผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งสร้าง 5 เมกะเทรนด์ในปี 67 ได้แก่ 1. Health Belies เทรนด์อาหารเพื่อสุขภาพและสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย 2. Naturaly Functional เทรนด์อาหารที่มีการพัฒนาสารเสริมเชิงหน้าที่จากธรรมชาติหรือมีการเติมวิตามินเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการ 3. Weight Wellness เทรนด์อาหารสำหรับการดูแลรูปร่าง 4.Snackification เทรนด์นวัตกรรมอาหารว่างที่ทำให้สะดวกทานง่ายทุกที่และทุกเวลา และ 5. Sustainability เทรนด์ผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับโลก

ดังนั้น แนวทางการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในปี 67-72 บริษัทวางกรอบการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสุขภาพและบริการตามเทรนด์ทั้งในประเทศไทยและระดับโลก เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถเจาะลึกถึงต้องการของผู้บริโภคกลุ่มที่มีไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน รวมถึงการต่อยอดสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ทั้ง ที่ทำจากนม (Dairy Products) และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ไม่ได้ทำจากนม (Non-dairg) พร้อมทั้งร่วมมือกับสถาบันการศึกษาและพันธมิตรบริษัทชั้นนำจากทั่วโลก เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของตลาดอย่างเหมาะสม

นายดนัย คาลัสซี รองกรรมการผู้อำนวยการอาวุโส KCG กล่าวว่า หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัท ได้ลงทุนสร้าง 'KCG Logistic Park" หรือศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าแบบครบวงจร บนพื้นที่ 15 ไร่ โดยนำเทคโนโลยีมาจัดเก็บผลิตภัณฑ์ของ KCG ซึ่งครอบคลุมทั้ง 3 อุณหภูมิ ทั้งระบบแช่แข็ง (Frozen) ระบบแช่เย็น (Chil) และแบบอุณหภูมิห้อง (Ambient) มาใช้ ทำให้สินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์เนยและชีสมีความสดใหม่ และนำเทคโนโลยีระบบ VMI (Vendor Managed Inventory) มาใช้เพื่อควบคุมระดับสต็อกและการส่งสินค้าให้ทันเวลาตามความต้องการของลูกค้า ซึ่งช่วยให้สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยเฟสแรกคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนเมษายนนี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งโครงการภายในไตรมาส 2/67 ซึ่งเร็วกว่าแผนเดิมที่วางไว้

นอกจากนี้ ในด้านการผลิตได้มีการขยายกำลังผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์ชีสในรูปแบบห่อเดี่ยว (Individually Wrapped Processed Cheese Slices หรือ IWS) เพิ่มขึ้นจากเดิม 2,106 ตันต่อปี เป็น 4,212 ตันต่อปี ไปเรียบร้อยแล้วในเดือนตุลาคมปี 2566 และอยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิตเนยจากเดิม 18,000 ตันต่อปี เป็น 23,000 ตันต่อปี ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2568

ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ พร้อมเดินหน้าปรับระบบการขนส่งสินค้าด้วยการเพิ่มสัดส่วนการใช้รถไฟฟ้าพลังงานสะอาด (EV Truck) โดยวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนเป็น 30% ของจำนวนรถขนส่งทั้งหมด เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อมในห่วงโซ่คุณค่าอย่างยั่งยืน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ