นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ (INVX) กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงในไตรมาส 1/67 ปรับตัวขึ้นมาก สะท้อนภาพการลงทุนปีนี้จะฟื้นตัวจากปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม มองว่าการลงทุนในไทยยังไม่ดีขึ้นเท่าไร โดยมีการเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 เป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ไตรมาส 2/67 เป็นต้นไป จึงคาดว่าไตรมาส 1/67 น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของตลาดหุ้นไทย พร้อมทั้งปรับประมาณการณ์ SET Index ปี 67 ลดลงมาที่ 1,550 จุด จากเดิมอยู่ที่ 1,650 จุด เพื่อให้ตรงกับความเป็นไปได้มากขึ้น แนะโฟกัสหุ้นที่ผลประกอบการทำจุดต่ำสุดแล้วและได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย ได้แก่ AOT GFPT GULF KCE และ SCGP
ปัจจัยที่คาดว่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยดีขึ้น ประกอบด้วย บรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก รวมทั้งเอเชียเริ่มฟื้นตัว ตลาดไทยควรจะฟื้นตัวตามด้วยเช่นกัน ซึ่งภาพรวมผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไทยยังเติบโตได้ ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ผลประกอบการก็มีสัญญาณที่ดีและราคาหุ้นยัง Undervalue และตลาดหุ้นไทยยังมีความโดดเด่นด้านการจ่ายเงินปันผล ซึ่งประเด็นดังกล่าว่าจะช่วยให้การลงทุนในไตรมาส 2/67 ปรับตัวดีขึ้น
ขณะที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 67 คาดขยายตัวอยู่ในช่วง 2.5-3% โดยการท่องเที่ยวยังเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ปีนี้จะมีการใช้จ่ายงบประมาณปี 67 ของภาครัฐ หากเบิกจ่ายได้เร็วและมีประสิทธิภาพจะกระตุ้นการลงทุนในเอกชน ซึ่งในแง่ของการลงทุน กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและการลงทุนยัง Underperform ตลาดอยู่ ดังนั้น GDP จะมีผลต่อหุ้นกลุ่มเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่แย่ที่สุด การขยายตัวทางเศรษฐกิจต่ำกว่า 2% ปัจจัยต่าง ๆ ไม่เป็นไปตามคาด ดัชนีจะอยู่ที่ 1,260 จุด ทั้งนี้มองว่ากรณีดังกล่าวคงไม่เกิดขึ้น ซึ่งระดับ 1,400 จุดเป็นดาวน์ไซด์
"เศรษฐกิจโลกในไตรมาส 2/67 มีแนวโน้มชะลอตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป (Global Soft-Landing) แม้ว่าอัตราการเติบโตจะสูงกว่าที่นักวิเคราะห์เคยคาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ การที่อัตราเงินเฟ้อสหรัฐอยู่ในทิศทางชะลอตัว ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีโอกาสลดดอกเบี้ย ในส่วนของเศรษฐกิจจีนเริ่มเห็นการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายด้าน โดยหากเศรษฐกิจจีนเติบโตตามแผนของรัฐบาลจะส่งผลบวกต่อทั้งเศรษฐกิจและตลาดหุ้นเอเชีย โดยเฉพาะไทย
ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 67 จะขึ้นอยู่กับปัจจัยด้านการเบิกจ่ายภาครัฐเป็นหลัก ในขณะที่การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นอีกปัจจัยที่อาจเกิดขึ้นซึ่งจะช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยเช่นกัน คาดว่าจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นไทยในไตรมาส 2/67 โดยประเมิน SET Index เป้าหมายที่ 1,550 จุด แนะนำ กลุ่มพาณิชย์กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มขนส่งและ กลุ่มสาธารณูปโภค"
นายสุกิจ กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยโลกส่งสัญญาณปรับตัวลง และอัตราดอกเบี้ยของประเทศไทยควรจะมีทิศทางสอดคล้องกับโลก อย่างไรก็ตามต้องพิจารณาถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เชื่อว่าหากเศรษฐกิจไทยในปีนี้ยังไม่สามารถขยายตัวได้ระดับ 3% มีโอกาสจะต้องใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นตัวช่วย เพราะกระทรวงการคลังใช้งบประมาณเป็นนโยบายการคลังช่วยอยู่แล้ว ดังนั้น นโยบายการเงินอาจต้องเข้ามาช่วยเพิ่มบ้างเพื่อทำให้ GDP ขยายตัวได้
"โดยช่วงเวลาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจ คือการประชุมในปต่ละรอบขึ้ยอยู่กับข้อมูล ณ ตอนนั้นว่าภาพรวมเป็นอย่างไร ซึ่งตอนนี้ยังเห็นภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังไม่มีมิติของเงินใหม่ ๆ เท่าไร ตอนนี้เป็นลักษณะทรงตัว เราก็หวังงบประมาณจะเข้ามาช่วยทำให้ไตรมาส 2/67 เป็นต้นไป กระตุ้นเศรษฐกิจดีขึ้น"
สำหรับโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล ยังไม่ได้รวมในการประมาณการณ์ขยายตัวเศรษฐกิจของปีนี้ และจากที่รัฐบาลแถลงข่าวระบุว่ามาตรการดังกล่าวจะใช้ในไตรมาส 4/67 คาดว่าผลของนโยบายดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้ามากกว่า แต่ในแง่ของจิตวิทยาเมื่อมีความชัดเจนมากขึ้น ตลาดหุ้นก็คงสะท้อนก่อน เนื่องจากหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดิจิทัลวอลเล็ต นั่นคือหุ้นกลุ่มบริโภค ราคายังไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก และที่ผ่านมายัง Underperform ตลาดอยู่ สะท้อนว่าโอกาสในการลงทุนหุ้นกลุ่มยังกล่าวยังมีอยู่มาก
นายปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน INVX ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะดูดีกว่าคาด โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐ แม้อาจจะชะลอตัวลงบ้าง อันเป็นผลมาจาก 3 ปัจจัย ได้แก่ 1.ผลกระทบของดอกเบี้ยขาขึ้น 2. ความเสี่ยงของภาคธนาคารที่เพิ่มขึ้น และ 3. เครษฐกิจโลกมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยเฉพาะความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์
แม้ว่าความเสี่ยงภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะลดลงในประเทศอื่นๆ ที่มองว่าเศรษฐกิจยุโรปจะเสี่ยงต่อภาวะถดถอย แต่นโยบายการเงินเริ่มมีพื้นที่ว่างมากขึ้น เศรษฐกิจญี่ปุ่น BOJ ปรับขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 17 ปี แต่ยังให้คำมั่นที่จะซื้อพันธบัตรรัฐบาลระยะยาว เพื่อรักษาสถานะนโยบายการเงินให้ยังผ่อนคลาย ทั้งนี้แนะจับตากระแสการกู้ยืมเงินเยนไปลงทุนในสินทรัพย์สกุลอื่น (Reverse Yen Carry Trade) อย่างใกล้ชิด แต่เชื่อว่า BOJ จะดำเนินนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งจะไม่ทำให้กระแสเงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวนมากนัก ด้านเศรษฐกิจจีนจะฟื้นตัวในระยะสั้น แต่ระยะยาวยังเผชิญความเสี่ยงจาก 3 วิกฤต ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ ภาวะเงินฝืด และวิกฤตการจ้างงาน
ด้าน นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน INVX แนะให้จับตาราคาน้ำมันดิบที่เร่งตัวขึ้นมาล่าสุด เพราะอาจส่งผลให้อัตราเงินเพ้อลดลงช้ากว่าเป้าหมายที่ธนาคารกลางต้องการ และจะมีผลต่อแผนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ สาเหตุที่ราคาน้ำมันดิบเร่งตัวขึ้นเนื่องจากอัตราการขยายตัวของอุปสงค์ที่แข็งแรงขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจโลก รวมถึงมาตรการลดการผลิตของ OPEC+ หากสถานการณ์ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องอาจนำไปสู่ตลาดน้ำมันอยู่ในภาวะอุปทานขาดแคลนได้
ส่วนประเด็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้น ล่าสุดประเมินว่าเฟดมีโอกาสปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือน มิ.ย. และลดลง 3-4 ครั้งในปีนี้ ด้าน ECB มีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยก่อนเฟด โดยคาดการณ์ว่า ECB จะเริ่มลดดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย.และลด 4 ครั้ง เช่นกัน ด้าน ธปท. คาดว่าจะเริ่มเห็นการลดดอกเบี้ยในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในเดือนเม.ย.และมิ.ย.เนื่องจากเศรษฐกิจยังเปราะบาง
ขณะที่ นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นไทยและต่างประเทศ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน INVX กล่าวถึงกลยุทธ์การลงทุนไตรมาส 2/67 ว่า โฟกัสหุ้นที่ผลประกอบการทำจุดต่ำสุดไปแล้วและเริ่มปรับตัวดีขึ้น คาดว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณการปรับเปลี่ยนน้ำหนักการลงทุน (Rotation) จากตลาดเศรษฐกิจพัฒนาแล้วไปยังตลาดเกิดใหม่ และเม็ดเงินลงทุนใหม่จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่ม non-tech และกลุ่มวัฏจักรมากขึ้น ตั้งแต่ไตรมาส 2/67 เป็นต้นไป โดยกลุ่มเทคโนโลยียังมีความน่าสนใจอย่าง TSMC, ASML, Microsoft, Alphabet ในขณะที่ Non-tech และกลุ่มวัฏจักรได้แก่ Airbus, Home Depot, Pfizer, Walt Disney, China Mobille, Baidu,CATL
ตลาดหุ้นไทยประเมินเป้าหมาย SET Index อยู่ที่ 1,550 จุด แนะจุดเข้าซื้อที่สำคัญอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 1,400 จุด ผลตอบแทนที่คาดหวังอยู่ที่ 12% ชี้เป้าหุ้นเด่นไตรมาส 2/67 เน้นโฟกัสหุ้นที่ผลประกอบการทำ จุดต่ำสุดแล้วและได้ประโยชน์จากการลดดอกเบี้ย มีฐานะการเงินและกระแสเงินสดที่ดี ผลประกอบการมีแนวโน้ม ฟื้นตัวอย่างชัดเจน และได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของวงจรการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการเบิกจ่ายงบประมาณได้แก่ AOT GFPT GULF KCE และ SCGP
"กลยุทธ์การลงทุนระยะยาว เรายังแนะนำกลยุทธ์การลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost-Averaging) เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังถือว่าฟื้นตัวช้ากว่าตลาดหุ้นภูมิภาค ราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ Undervalue มาก เราคาดว่า SET Index จะยังคงมีความผันผวน การลงทุนแบบ DCA ในช่วงนี้จึงถือเป็นจังหวะที่ดีที่สุด เนื่องจากความเสี่ยงลดลงไปมากและโอกาสทำกำไรในอนาคตค่อนข้างสูง โดยเกณฑ์การพิจารณาหุ้นสำหรับ DCA เข้าพอร์ตควรเป็น หุ้นที่พื้นฐานดี ราคา Undervalue มีผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง ได้แก่ BBL, BDMS, BEM, CPALL, PTT และ SCC นอกจากนั้นเรายังมีคำแนะนำสำหรับพอร์ตการลงทุนแบบ 2 สัปดาห์ (Bi-weekly Portolio) และหุ้นเด่นประจำวัน (Daily Top picks)" นายสุกิจ กล่าวเสริม
นายพยนต์ พงศาวรี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารสายงานฝ่าย Wealth Products and Strategy บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ (INVX) เผยมุมมองด้านการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) ว่า "การลงทุนรายสินทรัพย์ในไตรมาส 2/67 เรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อตราสารหนี้ ซึ่งนอกจากจะมีอัตราผลตอบแทนในปัจจุบันที่น่าสนใจ ประกอบกับแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลกที่จะเป็นผลบวกต่อราคาตราสารหนี้แล้ว ยังถือเป็นตัวช่วยกระจายความเสี่ยงในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนได้ด้วยเช่นกัน
โดยเน้นลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีเป็นหลัก และหลีกเลี่ยงการลงทุนตราสารหนี้ที่มีคุณภาพสินทรัพย์ในระดับต่ำ แนะนำกองทุน UGIS-N ที่ลงทุนผ่านกองทุนหลัก PIMCO GIS Income Fund ลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูงทั่วโลก ในขณะที่ตราสารทุนเราปรับมุมมองการลงทุนต่อหุ้นสหรัฐฯ จากระดับระมัดระวังขึ้นมาเป็นระดับเป็นกลาง (Neutral) โดยถึงแม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะมีแนวโน้มชะลอตัว แต่เมื่อพิจารณาแนวโน้มผลดำเนินงานพบว่ามีการปรับประมาณการกำไร (Earning Revision) ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับหุ้นในตลาดเกิดใหม่โดยภาพรวมถึงแม้ว่าจะมีมูลค่าหุ้น (Valuation)อยู่ในระดับที่น่าสนใจ แต่เรายังแนะนำให้เลือกลงทุนเฉพาะบางตลาดที่มีปัจจัยสนับสนุนเฉพาะตัว และ Valuation ยังไม่ได้แพงมากเกินไป เช่น ตลาดหุ้นไทย เวียดนาม และเกาหลีใต้ แนะนำกองทุน TISCOHD-A ที่เน้นลงทุนในหุ้นไทยขนาดใหญ่ปันผลสูงคุณภาพ ผสมผสานกับกองทุน ASP-SME-A ลงทุนในหุ้นไทยขนาดกลางขนาดเล็กเติบโตสูง กองทุน Principal VNEQ-A ลงทุนในหุ้นเวียดนามที่มีศักยภาพในการเป็นผู้ชนะในระยะยาว สอดคล้องไปกับการเติบโตเชิงโครงสร้าง และกองทุน SCBKEQTG ลงทุนในหุ้นเกาหลีใต้ อาทิ Samsung ผู้ผลิต Memory Chip อันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งได้ประโยชน์จากการส่งออกในกลุ่ม Semiconductor ที่เติบโต โดยการลงทุนในกองทุนไทยเหล่านี้นอกจากจะช่วยกระจายเสี่ยงของพอร์ตแล้ว นักลงทุนไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีต่างประเทศอีกด้วย