NEO เคาะขาย IPO หุ้นละ 39 บาท P/E 13.93 เท่า เปิดจอง 28 มี.ค.-2 เม.ย.เทรด 9 เม.ย.

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday March 27, 2024 11:37 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

NEO เคาะขาย IPO หุ้นละ 39 บาท P/E 13.93 เท่า เปิดจอง 28 มี.ค.-2 เม.ย.เทรด 9 เม.ย.

บมจ.นีโอ คอร์ปอเรท (NEO) กำหนดราคารเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 87,500,000 หุ้น ที่ราคา 39 บาท จากมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1.00 บาท/หุ้น มูลค่าตามราคาบัญชี (ก่อนเสนอขายหุ้น IPO กรณีรวมผลกระทบของการจ่ายเงินปันผล 499.50 ล้านบาทในเดือน มี.ค.) อยู่ที่ 4.70 บาท/หุ้น รวมมูลค่าการเสนอขาย 3,412.50 ล้านบาท โดยจะเปิดให้จองซื้อในระหว่างวันที่ 28-29 มี.ค. และ 1-2 เม.ย.67 คาดว่าจะเข้าเทรดวันแรก 9 เม.ย.

จำนวนหุ้น IPO ที่จะเสนอขายคิดเป็น 29.17% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลัง IPO ประกอบด้วย 1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนเสนอขายโดยบริษัท 78,000,000 หุ้น คิดเป็น 26% และ 2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย บมจ.เอฟเอ็นเอส โฮลดิ้งส์ (FNS) จำนวน 9,500,000 หุ้น คิดเป็น 3.17%

NEO เคาะขาย IPO หุ้นละ 39 บาท P/E 13.93 เท่า เปิดจอง 28 มี.ค.-2 เม.ย.เทรด 9 เม.ย.

บริษัทแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์และรับประกันการจำหน่าย คือ บล.ทิสโก้ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน พร้อมด้วยผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย คือ บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง บล.กรุงศรี บล.กสิกรไทย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) บล. ฟินันเซีย ไซรัส บล.เอเซีย พลัส

การกำหนดราคาเสนอขายสุดท้าย (Final Price) กระทำผ่านการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Bookbuilding) จากช่วงราคาอยู่ที่า 38-39 บาทต่อหุ้น โดยการเสนอขายหุ้นที่ราคา 39 บาทต่อหุ้น หากพิจารณากำไรสุทธิของบริษัทในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (ตั้งแต่ ม.ค.-ธ.ค.66) ซึ่งเท่ากับ 839.52 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมด 300 ล้านหุ้น (Fully Diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings Per Share) เท่ากับ 2.80 บาทต่อหุ้น และอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio : P/E) ประมาณ 13.93 เท่า

บริษัทได้เปรียบเทียบอัตราส่วน P/E ของบริษัทจดทะเบียนที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจที่ใกล้เคียงในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดธุรกิจของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค อ้างอิงข้อมูลในช่วงระยะเวลา 12 เดือนล่าสุด (16 มี.ค.66 ถึง 15 มี.ค.67) ดังนี้ บมจ. แจ๊กเจียอุตสาหกรรม (ไทย) (JCT) 11.4 เท่า, บมจ.ดู เดย์ ดรีม (DDD) 86.7 เท่า บมจ.มุ่งพัฒนา อินเตอร์แนชชั่นแนล (MOONG) 19.4 เท่า บมจ.โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล (KISS) 26.0 เท่า บมจ.เอส แอนด์ เจ อินเตอร์เนชั่นแนล เอนเตอร์ไพรส์ (S&J) 11.6 เท่า บมจ.โอ ซี ซี (OCC) - 3 เท่า

สัดส่วนหุ้นของ "ผู้มีส่วนร่วมในการบริหาร" ที่ไม่ติด silent period จำนวนไม่เกิน 28,628,400 หุ้น คิดเป็น 9.54%

NEO ประกอบธุรกิจทำการตลาด ผลิต และจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภค (Consumer Products) ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก (Baby and Kids Products)

บริษัทมีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้น IPO ราว 2,936.22 ล้านบาท 1.เพื่อลงทุนในโครงการขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) ซึ่งรวมถึงการขยายคลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์และระบบบริหารจัดการคลัง 1,960 ล้านบาท 2.เพื่อชำระคืนเงินกู้ที่มีกับสถาบันการเงิน 500 ล้านบาท และ 3. เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ 476.22 ล้านบาท

นายสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NEO เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ "มุ่งมั่นที่จะเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้บริโภค" บริษัทมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในตลาดสินค้าอุปโภคมากว่า 34 ปี เป็นผู้ทำการตลาด ผลิต และจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคชั้นนำของประเทศ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีคุณภาพของคนไทย มีเอกลักษณ์โดดเด่นเทียบเท่าระดับสากล โดยบริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในการสร้างโอกาสเติบโตใหม่ผ่านการขยายผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมผู้บริโภคทุกกลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มผู้บริโภคส่วนใหญ่ (Mass Market) กลุ่มพรีเมียมแมส (Premium Mass) และกลุ่มพรีเมียม (Premium) นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งเข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภค พร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์ด้วยนวัตกรรมใหม่ให้กับทุกคน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ปัจจุบัน บริษัทมีสินค้าอุปโภคครอบคลุมกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก 3 กลุ่ม รวม 8 แบรนด์ ประกอบด้วย 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) อาทิ แบรนด์ไฟน์ไลน์ (Fineline) แบรนด์สมาร์ท (Smart) และแบรนด์โทมิ (Tomi) 2. กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) อาทิ แบรนด์บีไนซ์ (BeNice) แบรนด์ทรอส (TROS) แบรนด์เอเวอร์เซ้นส์ (Eversense) และแบรนด์วีไวต์ (Vivite) 3.กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก (Baby and Kids Products) ภายใต้แบรนด์ดีนี่ (D-nee) ล่าสุด บริษัทฯ ได้เดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งจะยกระดับความสามารถด้านการแข่งขันและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจ

"การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ รวมทั้งการลงทุนด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อขยายกำลังการผลิตและยกระดับประสิทธิภาพกระบวนการผลิต ตลอดจนการขยายคลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ที่มีความทันสมัย เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดูแลชีวิตประจำวันของทุกคนให้ได้รับความสะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดีมากขึ้น เพื่อยกระดับความสุขของผู้บริโภคให้ทุกวันดียิ่งขึ้น (Uplift The Essentials for Everyday Betterment)" นายสุทธิเดช กล่าว

นางปัทมา ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการพาณิชย์ NEO กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคในประเทศไทยมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง จากภาวะเศรษฐกิจและภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัวหลังการแพร่ระบาด COVID-19 อีกทั้งการก้าวเข้าสู่สังคมเมืองและการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตใหม่ที่ให้ความสนใจด้านสุขอนามัยมากขึ้น ในขณะที่กลุ่มประเทศ CLMV เป็นตลาดเกิดใหม่ที่มีอัตราการเติบโตสูงในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

บริษัทวางกลยุทธ์ที่จะเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย ที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้บริโภค ผ่าน 3 กลยุทธ์ ได้แก่

1) กลยุทธ์ด้านการตลาดเพื่อเพิ่มความนิยมของผลิตภัณฑ์และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด บริษัทฯ นำเสนอนวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงมีการปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิมให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมุ่งขยายสินค้าในพอร์ตโฟลิโอไปยังระดับพรีเมียมแมสและพรีเมียม ผ่านการสื่อสารทางการตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขายครบวงจร โดยตั้งเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้ใกล้กับผู้นำตลาด

2) กลยุทธ์ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง (Supply Chain Optimization) โดยการมุ่งพัฒนาการบริหารจัดการวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการลงทุนในเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย และการลงทุนในระบบบริหารจัดการการจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปคลังสินค้าอัตโนมัติ

3) การให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน โดยสร้างวัฒนธรรมองค์กรปลูกฝังความรู้ให้กับบุคลากร สนับสนุนกิจกรรมชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม ตลอดจนสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (Sustainability Brand)

"NEO ได้นำความรู้และการวิจัยสู่การพัฒนานวัตกรรมใหม่ ตลอดจนการมุ่งขยายตลาด Silver Market หรือกลุ่มผู้สูงวัยอายุ 55 ปีขึ้นไป รองรับตลาดที่กำลังเติบโต รวมถึงการขยายผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียม เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ และสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน" นางปัทมา กล่าว

นางนาฏยา ทัศนีย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน NEO กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทได้พัฒนาสินค้าและนวัตกรรมใหม่ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ผลักดันให้ NEO มีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง นับตั้งแต่ปี 63-66 ยอดขายมีอัตราเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 11.9% ต่อปี และกำไรสุทธิขยายตัวเฉลี่ย (CAGR) 11.7% ต่อปี

ปี 63-66 บริษัทมีรายได้จากการขายรวม 6,768 ล้านบาท 7,445 ล้านบาท 8,301 ล้านบาท และ 9,484 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ 602 ล้านบาท 729 ล้านบาท 569 ล้านบาท และ 840 ล้านบาท ตามลำดับ

รายได้จากการขายกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) และ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก (Baby and Kids Products) คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40% 25% และ 35% ของรายได้จากการขายรวมของบริษัทฯ ตามลำดับ

ทั้งนี้ รายได้จากการขายของบริษัทฯ มาจากการขายสินค้าในประเทศและจากการขายสินค้าไปยังต่างประเทศ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 85% และ 15% ของรายได้จากการขายรวม ตามลำดับ โดยประเทศส่งออกหลักที่สำคัญ ได้แก่ เวียดนาม ลาว กัมพูชา เมียนมา ฯลฯ

และเพื่อรองรับกับการเติบโต NEO วางแผนการลงทุน 4 ปี (67-70) จาก ณ วันที่ 31 ธ.ค.66 บริษัทฯ มีกำลังการผลิตรวม 234,782 ตันต่อปี และคลังจัดเก็บสินค้าสำเร็จรูปมีความสามารถในการจัดเก็บรวมกว่า 45,700 พาเลท โดยเป็นโครงการที่ลงทุนภายใต้งบประมาณ ราว 6,530 ล้านบาท ดังนี้

1. โครงการขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน (Household Products) และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือนสำหรับเด็ก ในระหว่างปี 67-70 เพิ่มกำลังการผลิตรวมอีก 163,200 ตันต่อปี

2. โครงการขยายกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) ซึ่งรวมถึงกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลสำหรับเด็ก ในระหว่างปี 67-70 เพิ่มกำลังการผลิตรวมอีก 18,100 ตันต่อปี

3. โครงการขยายคลังวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ และระบบบริหารจัดการคลังสินค้า เพิ่มเป็น 29,620 พาเลท ในปี 70

นายทวีชัย ตั้งธนทรัพย์ หัวหน้าสายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า นักลงทุนสถาบันในประเทศได้แสดงความสนใจจองซื้อหุ้น IPO ของ NEO มากกว่าจำนวนหุ้นที่จัดสรรถึง 5 เท่า สะท้อนถึงความสนใจและมั่นใจในศักยภาพของธุรกิจ


แท็ก บัญชี   ปันผล  

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ