นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนรวม 24 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาส 2/67 - 4/67 มองว่าคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 67 ของตลาดเฉลี่ยที่ 92.92 บาท ลดลงจากผลสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 95.62 บาท และคาดว่า EPS Growth ของปี 67 เฉลี่ยอยู่ที่ 14.31%
ทางด้านคาดการณ์ทิศทางหุ้นไทยในระยะสั้นช่วงไตรมาส 2/67 นี้ ส่วนใหญ่คาดว่ามีแนวโน้มไปในทิศทางบวก โดยจะปิดสิ้นไตรมาสที่ 1,447 จุด และเมื่อมองตลอดปีจะแกว่งตัวในกรอบ 1,329-1,548 จุด โดยไปปิดสิ้นปีที่ 1,535 จุด
สมมติฐานหลัก
- ราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของปีนี้ 82.36 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
- คาดการณ์ การขยายตัวของ GDP ไทยปี 2567 จากเดิมที่ 3.33% (ม.ค.67) ลดลงมาเหลือ 2.80%
- Risk Free Rate ที่ใช้ในการประเมินมูลค่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.71%
- Risk Premium ของตลาดหุ้น เฉลี่ยอยู่ที่ 8.13%
สำหรับปัจจัยที่มีผลต่อทิศทางการลงทุนจนถึงสิ้นปี 67 แบ่งเป็น
ปัจจัยบวก ที่มีผู้โหวตมาเกินกว่า 50% ของผู้ตอบแบบสอบถาม นำโดย ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ทิศทางอัตรา ดอกเบี้ยสหรัฐอเมริกา และเศรษฐกิจภายในประเทศ มีผู้ตอบแบบสำรวจ 83.33% ปัจจัยรองลงมา 70.83% โหวตให้ผลประกอบการของ บจ.ปี67 ตามมาด้วย Fund Flows จากต่างประเทศสู่ตลาดหุ้นไทย และปัจจัยด้านเศรษฐกิจต่างประเทศทั้ง อเมริกา ยุโรป เอเชีย มีผู้ตอบ 66.67% ตามลำดับ
ส่วนปัจจัยด้านลบ มีปัจจัยเดียวที่โหวตเกิน 50% คือ ปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ มีผู้ตอบ 62.50%
ด้านคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของ ธปท. ณ สิ้นปี 67 มีนักวิเคราะห์ถึง 45.83% เท่ากัน ที่คาดว่าจะปรับลด 0.50% และ 0.25% โดยมีผู้ตอบ 8.33% ที่มองว่าคงที่
นักวิเคราะห์แนะนำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น
- เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 8.33%
- กองทุนตราสารหนี้ 23.54%
- หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 28%
- หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 23.46%
- กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 7.81%
- ทองคำหรือกองทุนทองคำ 7.81%
- สินทรัพย์อื่นๆ เช่น Bitcoin ,น้ำมัน 1.04%
ความเห็นต่อการลงทุนต่างประเทศนั้น แนะนำให้ลงทุนกองทุนหุ้นสหรัฐฯโดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี และ Selective Asia เช่น จีน อินเดีย เกาหลี เวียดนาม
ส่วนในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค เงินทุน/หลักทรัพย์ รับเหมาก่อสร้าง และการท่องเที่ยว ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธนาคาร และธุรกิจประกัน
รายชื่อหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 4 สำนักขึ้นไป มีดังนี้(เรียงชื่อตามอักษรย่อ)
1. AOT ได้อานิสงส์จากท่องเที่ยวฟื้นตัว โดย ธปท. คาดปีนี้มีนักท่องเที่ยว 34.5 ล้านคน +22.6% อีกทั้งยังมีมาตรการรัฐ ฟรีวีซ่า ซึ่ง AOT คาดผู้โดยสารในปีนี้ +20% เป็น 120 ล้านคนและไม่มีมาตรการให้ส่วนลดผู้ประกอบการ คาดรายได้ปีนี้ +39.6%
2. CK ได้ประโยชน์จากการเร่งรัดงบเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐปี67 หนุนให้การประมูลโครงการรัฐหลังจากนี้มีมากขึ้น โดยงานปีนี้ที่รอประมูลได้แก่ รถไฟทางคู่ขอนแก่น-หนองคาย ทางด่วนจตุโชติ และ ทางด่วนกะทู้-ป่าตอง เป็นต้น นอกจากนี้ในด้านต้นทุนพบว่าดัชนีวัสดุก่อสร้างลดลงต่อเนื่อง
3. CPALL ได้ประโยชน์หลักจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติและการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
4. MINT ได้ประโยชน์จากธุรกิจโรงแรมในไทยและในยุโรปเติบโตดี ดอกเบี้ยจ่ายลดลง ธุรกิจอาหารฟื้นตัว
หุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้นที่เกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐานไปมาก และหุ้นรายตัวที่มีภาระกู้ยืมสูง/เพิ่มทุน
ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ มีความคุ้มค่ากับงบประมาณ โดยกล่าวถึงมาตรการทั้งในระยะสั้นและยาว แยกเป็นการเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เดินหน้าโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานของเก่าที่ยังค้าง เช่น EEC , Airport Link และท่าเรือน้ำลึก ถัดมาคือด้านการช่วยเหลือภาคประชน การลดภาระหนี้ภาคครัวเรือน กระตุ้นการจ้างงานพร้อมกับพัฒนาแรงงานฝีมือและมาตรการเพิ่มกำลังซื้อ (ช้อปช่วยชาติ) ที่กระจายช่วงเวลาใช้ ไม่กระจุกในช่วงเวลาสั้นจนเกินไป และตามมาด้วย นโยบายสนับสนุนการท่องเที่ยว ดึงความน่าสนใจท่องเที่ยวเมืองรอง และขยายเมือง สนับสนุน FDI อุตสาหกรรมเป้าหมาย เพิ่มขีดจำกัดด้านการผลิต รวมถึงการย้ายฐานผลิตเข้ามาไทย
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก (GBS) กล่าวว่า เม็ดเงินต่างชาติคาดว่าจะไหลกลับเข้ามาช่วงครึ่งปีหลัง สัญญาณที่จะกลับเข้ามาสะท้อนจากค่าเงินบาทที่ยังอ่อนค่า รวมทั้งการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่มองว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค.67 ซึ่งหากมีการลดอัตราดอกเบี้ย ค่าเงินดอลลาร์อาจอ่อนลงมาเล็กน้อย เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นหนุน Fund Flow กลับเข้ามา
ขณะที่ไตรมาส 2/67 มองกรอบดัชนีอยู่ที่ 1,355-1,450 จุด โดยมองว่า 1,400 จุดเป็นแนวต้านสำคัญ ทั้งนี้ เดือนเม.ย.คาดว่าดัชนีจะยังไม่สามารถทะลุ 1,400 จุดได้ เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ ทำให้วอลุ่มเบาบางไม่สามารถหนุน SET ทะลุแนวต้านสำคัญได้
สำหรับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ให้น้ำหนักน้อยเพราะคิดว่าอาจจะไม่เกิดขึ้น และล่าสุดได้มีการแถลงข่าวว่าจะมีการนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งคาดว่าการใช้โครงการดังกล่าวจะถูกเลื่อนเป็นไตรมาส 4/67 ทำให้มองว่าโอกาสที่โครงการดังกล่าวจะเกิดขึ้นน้อยลงกว่าเดิม อย่างไรก็ตามหากมีดิจิทัลวอลเล็ตมองเป็นเซอร์ไพร์ซ