นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บมจ.ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี (CCP) เปิดเผยว่าบริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปี 2567 ไว้ที่ 3,300 ล้านบาท โตจากปีก่อนที่มีรายได้ ที่ 3 พันล้านบาท และปีนี้จะรักษาอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 5% โดยบริษัทมีแผนเดินหน้าประมูลงานภาครัฐ-เอกชน จากทั่วประเทศเข้ามาเพิ่มในอนาคต อาทิ งานทางหลวงชนบท งานกรมทางหลวง งานนิคมอุตสาหกรรม เพื่อรักษาระดับมูลค่างานในมือ (Backlog) ไว้ไม่ต่ำกว่า 1,600 ล้านบาท เริ่มทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาส 2/67
ทั้งนี้บริษัทอยู่ระหว่างการประมูลงาน โดยปัจจุบันมีงานรอประมูลมูลค่ารวมประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานรัฐ ซึ่งบริษัทคาดว่าจะประมูลสำเร็จประมาณ 50%
นอกจากนี้บริษัทเตรียมงบลงทุนมูลค่า 90 ล้านบาท สำหรับเครื่องจักรใหม่ และปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ลดแรงงาน เป็นการจัดสรรทรัพยากร ที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กร เพื่อเพิ่มความสามารถทำกำไร โดยคาดว่าจะเริ่มใช้เครื่องจักรใหม่ภายในเดือนก.ค. 67 โดยการลงทุนดังกล่าวจะหนุนให้รายได้ใน 3 ปีข้างหน้าโตเฉลี่ยปีละ 10%
ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 1/67 คาดทรงตัวจากปี 67 โดยผลการดำเนินงานฟื้นตัวตั้งแต่ปลายเดือนม.ค. ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการเติบโตของรายได้ในกลุ่มลูกค้าเอกชนเป็นหลัก โดยเฉพาะในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมจากการย้ายฐานการผลิตของนักลงทุนต่างประเทศมายังประเทศไทย ทั้งนี้คาดว่าปีนี้สัดส่วนรายได้กลุ่มเอกชนจะเพิ่มมากขึ้นเป็น 45% จากเดิมมีสัดส่วนรายได้ 35% จากรายได้ทั้งหมด
ในปี 2567 บริษัทมุ่งเน้นกลยุทธ์พัฒนาผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป (Precast) นวัตกรรมใหม่ ให้มีความหลากหลาย รองรับงานโครงสร้างพื้นฐานและ งาน Landscape ทั่วประเทศ มุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีมาตรฐานระดับสากล พร้อมใช้งาน ประหยัดเวลา เพิ่มประสิทธิภาพในการก่อสร้าง รองรับการแข่งขันที่เพิ่มสูง ความผันผวนของต้นทุน อีกทั้งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยคาร์บอน ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ที่จำเป็นต้องให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมตามเทรนด์ Green Construction
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนการดำเนินกิจการตามหลัก ESG สู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนขององค์กรอย่างแท้จริง ส่งผลให้สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
"ปัจจัยสนับสนุนช่วงต่อจากนี้ จะมาจากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ที่จะเริ่มมีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ รถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ และโครงข่ายคมนาคมขนาดใหญ่ ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ EEC รวมทั้งโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานในพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ ตลอดจนงานก่อสร้างขนาดใหญ่ของภาคเอกชน ทั้งด้านที่อยู่อาศัย กลุ่มอาคารสูง และอาคารขนาดใหญ่ นิคมอุตสาหกรรม ทำให้มีแนวโน้มที่ปริมาณงานที่รอดำเนินการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปในภาคก่อสร้างทั้งภาครัฐและเอกชนขยายตัวตาม" นายอาทิตย์ กล่าว