นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า แม้ว่าปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นไทยยังเคลื่อนไหวทรงตัวอยู่ในกรอบ และตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันดัชนีตลาดหุ้นไทยยังติดลบ 2.7% ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน แต่ยังเชื่อว่าจะเริ่มเห็นตลาดหุ้นไทยสามารถพลิกกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้ หลังจากที่งบประมาณของภาครัฐเริ่มมีการเบิกจ่ายออกมา ทำให้มีการลงทุนต่างๆ ของภาครัฐที่ส่งเม็ดเงินออกมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยเสริมที่ช่วยเข้ามากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะต่อจากนี้ จากที่ปัจจุบันปัจจัยหนุนขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยหลักๆมาจาก 2 ส่วน คือ ภาคการส่งออก และภาคท่องเที่ยว ที่เป็นปัจจัยหนุนต่อภาพเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย โดยหากมีแรงหนุนจากงบประมาณของภาครัฐออกมาแล้ว ทำให้มีความคาดหวังว่าจะเห็นตลาดหุ้นไทยมีจุดกลับตัว (Turning Point) ได้
ขณะเดียวกันอีกหนึ่งปัจจัยที่จะช่วยสนับสนุนต่อการกลับตัวฟื้นขึ้นของตลาดหุ้นไทยมาจากโอกาสในการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสลดดอกเบี้ยมากขึ้น หลังจากที่ข้อมูลทางเศรษฐกิจต่างๆของประเทศออกมาเริ่มเห็นทิศทางที่มีโอกาสที่มีน้ำหนักในการลดดอกเบี้ยนมากขึ้น และการที่การประชุมกนง.ในครั้งก่อนหน้ามีเสียงสนับสนุนของกรรมการกนง.ในการลดดอกเบี้ยออกมามากขึ้น ทำให้มองโอกาสความเป็นไปที่จะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่สนับสนุนต่อการฟื้นตัวกลับมาของตลาดหุ้นไทยได้
ด้านสถานการณ์ในเมียนมาที่ดูมีความรุนแรงมากขึ้น มองว่ายังไม่กระทบต่อเศรษฐกิจไทย หรือมีผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนไทยที่เข้าไปลงทุนในเมียนมาอย่างมีนัยสำคัญ หากดูที่การค้าระหว่างไทยและเมียนมาถือว่ายังไม่มาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคเอเชีย หรือในประเทศเพื่อบ้านกลุ่ม CLMV และอาเซียน เพราะที่ผ่านมาเมียนมามีการปิดประเทศ ทำให้การซื้อขายระหว่างกันมีการชะลอตัวไป ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจจะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาพของเศรษฐกิจไทย
"ปีนี้ยังเป็นปีที่ท้าทาย แม้ว่าที่ผ่านมาเราจะมองว่า Uncertainty จะลดน้อยลง เพราะความไม่สงบในตะวันออกกลาง หรือในยุโรปน่าจะชัดเจนมากขึ้น แต่ที่เห็นล่าสุดยังมีเหตุการณ์ในประเทศข้างๆเรา ซึ่งมีอะไรใหม่ๆเกิดขึ้นอยู่เสมอ และเราทุกคนก็ต้องติดตามข้อมูลและนำมาวิเคราะห์อย่างรอบคอบ แต่เชื่อว่าปีนี้น่าจะเป็น Turning point ของตลาดหุ้นไทย จากปัจจัยสำคัญที่งบประมาณรัฐจะเบิกใช้ได้ ซึ่งส่งผลตามมาให้ภาคธุรกิจมีความเข้มแข็งกลับมามากขึ้น" นายภากร กล่าว
สำหรับภาพของกระแสเงินทุน (Fund flow) ต่างชาติหลังจากที่เดือนก.พ. 67 มีการกลับเข้ามาซื้อสุทธิ และกลับมาเป็นขายสุทธิในเดือนมี.ค. 67 และ 3 เดือนที่ผ่านมาต่างชาติขายสุทธิไปแล้วกว่า 6.8 หมื่นล้านบาท ส่วนหนึ่งเกิดจากความผันผวนของปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกอบกับเศรษฐกิจไทยที่ยังพึ่งพาการส่งออกอยู่ค่อนข้างมาก เมื่อเศรษฐกิจต่างประเทศมีความผันผวน ก็กระทบต่อการส่งออก และกระทบต่อเศรษฐกิจตามไปด้วย ทำให้นักลงทุนต่างชาติมีการขายหุ้นไทยออกไปจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทย ซึ่งการที่มีกระแสเงินทุนไหลออกไป ส่งผลต่อค่าเงินบาทที่อ่อนค่า
ขณะเดียวกันค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเกิดจากการที่ประเทศไทยมีการบริโภคน้ำมันเป็นจำนวนมากถึงเฉลี่ย 1 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งทำให้ต้องใช้เงินนำเข้าน้ำมันมาเป็นจำนวนมาก และในช่วงนี้ที่ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ต้องใช้เงินในการนำเข้าน้ำมันเข้ามามากขึ้น จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าเงินบาทที่อ่อนค่า อย่างไรก็ตามการที่ Fund flow จะกลับมาเป็นบวกได้นั้นจะต้องขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย ได้แก่ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยจะต้องดีต่อเนื่อง การปรับลดอัตราดอกเบี้ย และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่ดี ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยเกิดความน่าสนใจ และดึงดดูดนักลงทุนต่างชาติให้กลับเข้ามาลงทุนได้
สำหรับมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยช่วงต้นเดือนเม.ย.นี้ โดยเฉพาะใกล้สู่ช่วงเทศกาลสงกรานต์ การซื้อขายในตลาดหุ้นไทยจะมีการปรับตัวลดลงราว 20% เมื่อเทียบกับช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปกติในทุกๆปีที่ใกล้เทศกาลสงกรานต์มูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยจะลดลง
แม้ว่าตลาดหลักทรัพย์จะมีการเพิ่มเวลาการซื้อขายในภาคบ่ายมาเป็น 14.00 น. จากเดิมที่เริ่มซื้อขายในภาคบ่าย 14.30 น. แต่การเพิ่มการซื้อขายในภาคบ่ายให้เร็วขึ้น ตลาดหลักทรัพย์ฯมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องการซื้อขายให้กับนักลงทุนเท่านั้น ไม่ได้เป็นการเพิ่มระยะเวลาการซื้อขายมาเพื่อคาดหวังเพิ่มมูลค่าการซื้อขายให้มากขึ้น ซึ่งการเพิ่มมูลค่าการซื้อขายให้มากขึ้นนั้นมีแนวทางอื่นๆที่ตลาดหลักทรัพย์ฯสามารถทำได้เช่นกัน
ส่วนการเปิดรับสมัครผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯคนใหม่ นายภากร กล่าวว่า ยังคงมีการเปิดรับสมัครบุคคลที่สนใจจนถึงวันที่ 30 เม.ย. 67 ซึ่งเปิดโอกาสให้บุคคลที่มีความสามารถ และมีวิสัยทัศน์ที่ดีที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงเดินหน้าในการขับเคลื่อนตลาดหุ้นไทยให้สอดคล้องไปกับนโยบายของภาครัฐที่ต้องการส่งเสริมตลาดทุนไทยในด้านการเป็น Regional Capital Matket
ด้านแหล่งข่าวในตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวถึงการเปิดรับสมัครผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยระบุว่าปัจจุบันยังไม่มีผู้ใดเข้ามายื่นสมัครผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่ยังคงเปิดรับสมัครไปจนถึงวันที่ 30 เม.ย.นี้ ซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งที่อาจจะยังไม่มีคนเข้ามายื่นใบสมัครผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะว่าการทำข้อมูลสำหรับการแสดงวิสัยทัศน์อาจจะต้องรอดูสถานการณ์ต่างๆประกอบ เนื่องจากปัจจุบันมีสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
หากมีการยื่นสมัครและส่งข้อมูลในการแสดงวิสัยทัศน์ไปแล้ว เมื่อมีเหตุการณ์ใหม่ๆเกิดขึ้นมาหลังจากที่ส่งไป อาจจะต้องกลับมาแก้ไขและทบทวนวิสัยทัศน์ที่ได้ส่งข้อมูลไปก่อนหน้า เพื่อให้วิสัยทัศน์ที่จะต้องไปแสดงต่อกรรมการคัดเลือกมีความเท่าทันต่อเหตุการณ์ ทำให้คนที่จะสมัครเข้ามาจะต้องรอสถานการณ์ต่างๆ นิ่งและจะเริ่มเห็นการสมัครเข้ามา ซึ่งคาดว่าอาจจะเป็นช่วงสัปดาห์สุดท้ายของการเปิดรับสมัคร