บมจ.ผาแดงอินดัสทรี(PDI)เชื่อว่าผลประกอบการของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2/51 หลังได้รับการต่ออายุประทานบัตรเหมืองแม่สอดอีก 15 ปีเมื่อ 28 เม.ย.51 เนื่องจากช่วยทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงจากการเพิ่มสัดส่วนวัตถุดิบแร่สังกะสีซิลิเกตในประเทศทดแทนการนำเข้าได้มากขึ้น พร้อมเล็งหาแหล่งทำเหมืองในประเทศใกล้เคียง เน้นลาวและพม่า ก่อนขยายเข้าเวียดนาม
ปีนี้ยังคงเป้าผลผลิต 1.1 แสนตัน ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยแม้จะลดลงแต่น่าจะทรงตัวอยู่เหนือกว่า 2 พันเหรียญสหรัฐ/ตันหลังผ่านจุดสูงสุดเมื่อปีก่อน คาดบอร์ดหารือนโยบายทำสัญญาขายล่วงหน้าในปี 52 สัปดาห์หน้า หลังจากหยุดไปในปีนี้
นายชิดชัย ทวีพานิช ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายทรัพยากรบุคคลและบริหารงานกลาง PDI เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า
การที่เหมืองแม่สอดได้ต่ออายุประทานบัตรเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้น PDI ปรับขึ้น เพราะส่งผลดีต่อผลดำเนินงานโดยรวมของบริษัทในอนาคต เนื่องจากสินแร่จากเหมืองแม่สอดที่ผลิตได้ในประเทศจะช่วยลดต้นทุนแทนการนำเข้าจากต่างประเทศมาเข้าโรงถลุง จึงเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับบริษัทว่ามีแร่เป็นของเราเองที่อยู่ในประเทศและเป็นแร่ที่มีต้นทุนถูกมาใช้
"แน่นอนบริษัทก็ตั้งใจในการนำแร่ที่เหมืองแม่สอดออกมาใช้ให้ได้มากที่สุดเพราะจะเป็นการลดต้นทุนวัตถุดิบ ซึ่งมีการวางแผนล่วงหน้าอยู่แล้วในการเปิดเหมืองเพราะต้องเตรียมเครื่องมืออุปกรณ์ และบุคลากร จึงไม่น่าจะมีปัญหาในการผลิต"นายชิดชัย กล่าว
นายชิดชัย กล่าวว่า บริษัทก็ยังคงจำเป็นต้องนำเข้าสินแร่สังกะสีจากต่างประเทศเข้ามาถลุงประมาณ 50-60% และที่เหลือใช้จากแร่ในประเทศ ซึ่งในช่วงที่รอประทานบัตรใหม่ตั้งแต่ต.ค.50 บริษัทก็ยังมีสินแร่ส่วนหนึ่งในสต็อก ขณะเดียวกันเราก็ได้วางแผนล่วงหน้าโดยการนำเข้าแร่จากต่างประเทศเพิ่มขึ้น
ดังนั้น ถึงแม้เหมืองจะปิดก็ไม่ได้กระทบกับกระบวนการผลิตมากนัก กำลังการผลิตโลหะสังกะสีไม่ได้ลดลง ยังเป็นไปตามปกติเพียงแต่สัดส่วนในการใช้วัตถุดิบอาจจะใช้จากในประเทศลดลงนำเข้าต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้มาร์จินลดลง เพราะเมื่อเรานำแร่ต่างประเทศที่มีราคาแพงเข้ามามากขึ้นก็ทำให้มาร์จินลดลง อย่างไรก็ตาม คงต้องรอผลประกอบการในไตรมาส 1/51
"มาร์จินลดลง ก็จะส่งผลต่อผลประกอบการแน่นอน ก็ชัดเจนเพียงแต่รอผลประกอบการไตรมาส 1/51 ก่อน" นายชิดชัย กล่าว
สำหรับเป้าหมายผลผลิตตามนโยบายของกรรมการผู้จัดการคนใหม่พยายามที่จะผลิตให้เต็มกำลังการผลิต 100% คือ 1.1 แสนตันโลหะ ซึ่งได้รวมประมาณการจากการได้รับประทานบัตรใหม่อายุ 15 ปีแล้ว ก็ยังคงเป็นเป้าหมายในการผลิตเดิม
"ตอนนี้เราได้รับอนุมัติประทานบัตรใหม่อายุ 15 ปีแล้ว ขณะนี้บริษัทก็ดำเนินการเปิดเหมืองแม่สอดได้ ก็จะมีวัตถุดิบแร่สังกะสีซิลิเกตจากที่แม่สอดส่งไปโรงถลุงได้" นายชิดชัย กล่าว
ทั้งนี้ ปริมาณแหล่งแร่สำรองที่มีอยู่ในเหมืองแม่สอด ณ 31 ธ.ค.50 อยู่ที่ 4.2 ล้านเมตริกตัน
*งบ Q2/51 มีโอกาสฟื้น หลัง Q1/51 ราคาสังกะสีลด-ต้นทุนวัตถุดิบสูง
นายชิดชัย กล่าวว่า คณะกรรมการบริษัทจะเรียกประชุมเพื่อพิจารณางบการเงินไตรมาส 1/51 ในสัปดาห์หน้าก่อนแจ้งให้กับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในกลางเดือนนี้ ซึ่งผลดำเนินงานในช่วงดังกล่าวขึ้นกับราคาโลหะสังกะสี และต้นทุนการผลิตสังกะสีเป็นสำคัญ
ในช่วงไตรมาส 1/51 ราคาสังกะสีอยู่ที่ 2,200-2,300 เหรียญสหรัฐ/ตัน ลดลงจากเฉลี่ยทั้งปี 50 ที่อยู่ในระดับ 3,240 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากโลหะในกลุ่ม Commodity ทั่วโลกได้ปรับตัวขึ้นไปที่จุดสูงสุดในช่วงปีก่อนหน้า จากนั้นก็ค่อยๆ ลดลงในไตรมาส 4/50 มาที่ 2,300 เหรียญสหรัฐ/ตัน และคาดว่าทั้งปีนี้ราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่สูงกว่า 2,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน
ส่วนต้นทุนการผลิตสูงขึ้นจากการปริมาณนำเข้าสินแร่เข้ามาถลุงมีมากกว่าการใช้สินแร่ในประเทศ
อนึ่ง ไตรมาส 1/50 งบการเงินรวม PDI มีกำไรสุทธิ 314 ล้านบาท ลดลงจากปี 49 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 456 ล้านบาท ขณะที่ในไตรมาส 4/50 บริษัทรายงานผลขาดทุน 35 ล้านบาท ลดลงมากเมื่อเทียบกับกำไร 522 ล้านบาทในไตรมาส 4/49 เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นและมีสัดส่วนการใช้แร่สังกะสีซิลิเกตจากเหมืองแม่สอดลดลง เพราะหยุดทำเหมืองชั่วคราว
นายชิดชัย กล่าวว่า ในไตรมาส 2/51 แม้เป็นช่วงฤดูฝน แต่ไม่ได้กระทบต่อผลประกอบการมาก แม้กำลังซื้อในประเทศลดลง แต่บริษัทยังสามารถส่งออกได้ทดแทน โดยยอดขายเป็นไปตามกำลังการผลิต ฉะนั้นหากทั้งปีมีกำลังการผลิต 1.1 แสนตัน อย่างน้อยที่สุดก็จะขายได้ประมาณ 90% ของกำลังการผลิต
"ฤดูฝนถึงแม้มีผลบ้าง คือ กำลังซื้อในประเทศลดลงไป ก็ไม่มีผลต่อผลประกอบการเพราะเราส่งออกต่างประเทศได้ ตรงนี้ไม่ได้มีผลอะไรถึงแม้ตลาดในประเทศชะลอลงก็ส่งออกต่างประเทศ ดังนั้นการผลิตและการขายที่ PDI มีอยู่ก็จะสัมพันธ์กันที่ผ่านมาเราผลิตได้เท่าไรก็จะขายหมด"นายชิดชัย กล่าว
*คาดบอร์ดหารือทำสัญญาขายล่วงหน้าสัปดาห์หน้า-เล็งขยายเหมืองไปลาว พม่า เวียดนาม
นายชิดชัย กล่าวอีกว่า ในการประชุมคณะกรรมการบริษัทสัปดาห์หน้าอาจมีการหารือเกี่ยวกับนโยบายการทำสัญญาขายล่วงหน้าในปี 52 เนื่องจากปริมาณผลผลิตสินแร่มั่นคงขึ้นจากการที่บริษัทได้รับต่ออายุประทานบัตรเหมืองแม่สอด หลังจากที่ปี 51 ไม่มีสัญญาขายล่วงหน้า ซึ่งขึ้นอยู่กับการพิจารณาของผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เข้ามาเป็นผู้บริหารในขณะนี้
"ขึ้นอยู่กับนโยบายบริษัทในการที่จะดูว่าปริมาณของโลหะในตลาดโลกเป็นอย่างไร ราคาสังกะสีเป็นอย่างไร เหมาะสมในการที่จะทำการขายล่วงหน้าหรือไม่ เพราะปีก่อนที่ไม่ขายล่วงหน้าสาเหตุเนื่องจากประทานบัตรเหมืองสิ้นสุดลง ในการขายจะต้องนำมาคำนวณจากแร่ที่ในประเทศด้วย เมื่อเหมืองแร่ที่แม่สอดไม่ได้มีการผลิตเข้าไปสู่ปริมาณการผลิตทั้งหมด เราก็คิดว่าการขายล่วงหน้าก็ไม่มีความจำเป็น"
สำหรับผู้ถือหุ้นใหม่ที่เข้ามาแทนกลุ่มเก่าจะเป็นกองทุนจากดูไบ Bali Ventures Limited ถือ 22% อันดับ 2 บริษัทเหมืองแร่ของอินเดีย RAK Minerals & Metals Investments FZ-LLC ถือ 12% อันดับ 3 กระทรวงการคลังถือ 13% ที่เหลือกลุ่มผู้ถือห้นรายย่อยไทยและต่างประเทศ
นายชิดชัย กล่าวว่า บริษัทยังมีเป้าหมายขยายการสำรวจและทำเหมืองแร่ในต่างประเทศเพื่อเพิ่มปริมาณสินแร่ โดยเน้นใน 2 ประเทศ คือ ลาวและพม่าเป็นหลัก ต่อไปอาจเป็นเวียดนาม โดยที่ลาวมีแหล่งในเรื่องการสำรวจที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลลาวอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นลาวก็จะเป็นเป้าหมายหลักในอันดับต้น ๆ ส่วนพม่าคงจะต้องมีการเจรจากับรัฐบาลพม่าก่อน
บริษัทยังคงนโยบายปันผลที่ 70% ของกำไร ถือว่าสูงมากโดยปี 50 จ่ายในอัตราหุ้นละ 2.74 บาท ปี 51 นโยบายยังเหมือนเดิม ซึ่งกรรมการผู้จัดการคนใหม่ก็ให้เป็นแนวทางว่าหากมีกำไรก็ต้องมีการแบ่งปันผลออกไป ยังเป็นนโยบายหลักของบริษัทอยู่
--อินโฟเควสท์ โดย จำเนียร พรทวีทรัพย์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--