นายนำพล มลิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เอสซีจี เดคคอร์ (SCGD) กล่าวว่า บริษัทมั่นใจว่าผลการดำเนินงานจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นมาตั้งแต่ไตรมาส 2/67 เป็นต้นไป จากทิศทางของยอดขายในประเทศที่ดีขึ้น รวมถึงเวียดนามและฟิลิปปินส์ที่ดีขึ้นด้วยเช่นกัน ซึ่งเข้ามาหนุนผลการดำเนินงานในไตรมาสต่อๆไป และการที่มั่นใจว่าตลาดอาเซียนจะฟื้นตัวตามเป้าหมาย 4-5% จึงตั้งเป้ารายได้รวมเพิ่มเป็น 2 เท่า หรืออยู่ที่ 6 หมื่นล้านบาทภายในปี 73 ด้วย 4 กลยุทธ์ ได้แก่
1. การสร้างการเติบโตให้ธุรกิจตกแต่งพื้นผิวกระเบื้องปูพื้นและบุผนัง ผ่านแผนดำเนินการที่สำคัญต่าง ๆ ได้แก่ ขยายการลงทุนโรงงานในพื้นที่ภาคใต้ของเวียดนาม เพิ่มยอดขายสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินค้าและสร้างฐานการจัดหาสินค้าร่วมกัน (Business Sourcing) ขยายเครือข่ายช่องทางจัดจำหน่าย และเพิ่มยอดขายสินค้าที่มีอัตราการเติบโตสูง เช่น วัสดุปิดผิวไวนิล SPC และกระเบื้องเกลซพอร์ซเลน
2. ขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ในอาเซียน ด้วยการต่อยอดจากช่องทางจัดจำหน่ายของธุรกิจตกแต่งพื้นผิว และขยายการลงทุนโรงงานสุขภัณฑ์ใหม่ในอาเซียน โดยตั้งเป้าหมายยอดขายสุขภัณฑ์เติบโต 2 เท่า หรือกว่า 1 หมื่นล้านบาท โดยในไตรมาสที่ผ่านมา SCGD ได้เร่งดำเนินการตามกลยุทธ์ขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ในอาเซียนซึ่งเป็นอีก 1 ธุรกิจหลักของ SCGD มีสัดส่วนรายได้ประมาณ 20% โดยเร่งขยายช่องทางการจัดจำหน่าย เพิ่มตัวแทนจำหน่ายสุขภัณฑ์ในต่างประเทศต่อยอดจากช่องทางการจัดจำหน่ายของธุรกิจตกแต่งพื้นผิว ในเวียดนามจากเดิม 17 รายเป็น 39 ราย ฟิลิปปินส์ จากเดิม 78 รายเป็น 85 ราย และอินโดนีเซีย จากเดิม 28 ราย เป็น 37 ราย ทำให้ปัจจุบัน บริษัทฯ มีเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายสุขภัณฑ์รวม 161 ราย ใน 3 ประเทศดังกล่าว
3. ขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านการให้บริการแบบครบวงจรและเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าที่เกี่ยวข้อง เช่น กาวและยาแนว ประตู หน้าต่าง และชุดเฟอร์นิเจอร์ครัว และอื่น ๆ โดยใช้ประโยชน์จากเครือข่ายช่องทางจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง
4. M&P (Merger & Partnership) ลงทุนเพื่อควบรวมกิจการและสร้างความร่วมมือกับเจ้าของกิจการเดิมในธุรกิจตกแต่งพื้นผิวธุรกิจสุขภัณฑ์ และธุรกิจผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่องทั้งใน และต่างประเทศ
สำหรับการลงทุนในไตรมาส 1/67 บริษัทได้ลงทุนอีก 290 ล้านบาทใน 3 โครงการ เป็นโครงการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ได้แก่ โครงการติดตั้งโซลาร์เซลล์ 5.5 เมกะวัตต์ ลงทุน 140 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณต้นปี 68, โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารคลังสินค้า ลงทุน 70 ล้านบาท ติดตั้งระบบอัตโนมัติ และ โครงการไลน์การผลิตกระเบื้องขนาดใหญ่ที่หนองแค ลงทุน 80 ล้านบาท คาดเริ่มเดินสายการผลิตภายในสิ้นปี 67
นอกจากนี้ ยังมีโครงการลงทุนเพื่อลดต้นทุนพลังงานที่ได้ลงทุนไปแล้วคาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปีนี้ ได้แก่ โครงการติดตั้ง Hot Air Generator โรงงานในประเทศไทยอีก 2 แห่ง คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน พ.ค.นี้ และ โครงการปรับปรุงสายการผลิตกระเบื้องไวนิล SPC โดยจะเริ่มผลิตกระเบื้องไวนิล SPC สำหรับป้อนตลาดในประเทศไทยได้ตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาสที่ 2 ด้วยกำลังการผลิต 1.8 ล้านตารางเมตรต่อปี
ที่สำคัญ SCGD ยังมีโครงการลงทุนในเวียดนามที่จะทยอยแล้วเสร็จพร้อมเริ่มดำเนินการได้ตามแผนงานภายในปี 67 ได้แก่ โครงการผลิตสินค้ากลุ่ม "กระเบื้องพอร์ซเลน" และกระเบื้องขนาดใหญ่ อีก 2.2 ล้านตารางเมตร/ปี ตอนกลางของเวียดนาม และโครงการผลิตกระเบื้องพอร์ซเลน 9.1 ล้านตารางเมตรต่อปี ในพื้นที่ภาคเหนือของเวียดนาม คาดว่าจะเริ่มเดินสายการผลิตได้ในช่วงปลายปี 67
โครงการลงทุนทั้งหมดเป็นการลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตตามแนวทางของ ESG รวมถึงปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตต่างๆ เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าที่สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภค และเตรียมธุรกิจให้พร้อมต่อการเติบโตตามการฟื้นตัวของตลาดในอนาคต
นายนำพล กล่าวอีกว่า แนวโน้มในไตรมาส 2/67 คาดว่าจะมีปัจจัยบวกจากการเริ่มใช้จ่ายงบประมาณปี 67 ทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐจะทำให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น คาดว่าจะช่วยหนุนตลาดวัสดุวัสดุตกแต่งพื้นผิว กระเบื้องเซรามิกและสุขภัณฑ์ในประเทศให้ฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้าง และการที่มีโครงการใหม่ๆ ที่งานโครงสร้างอาคารแล้วเสร็จเริ่มตกแต่งภายในอาคาร ทำให้แนวโน้มของความต้องการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้น
ขณะที่สถานการณ์ตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิว กระเบื้องเซรามิก และสุขภัณฑ์ ในภูมิภาคอาเซียน สำหรับตลาดเวียดนาม จากความคืบหน้าของกฎหมายที่ดินฉบับใหม่เพื่อปฏิรูปกระบวนการบริหารที่เกี่ยวข้องกับที่ดินและจัดทำฐานข้อมูลที่ดินระดับชาติ แม้ว่าจะมีผลบังคับใช้ต้นปี 68 แต่คาดว่าจะเป็นแรงผลักดันช่วยสร้างบรรยากาศและกระตุ้นให้วงการอสังหาริมทรัพย์ของเวียดนามคึกคักมากขึ้นตั้งแต่ปีนี้ ด้านฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียคาดว่าจะฟื้นตัวจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่จะดีขึ้น
ส่วนผลกระทบจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง ถือว่าไม่กระทบต่อธุรกิจของ SCGD แต่ความขัดแย้งในเมียนมาอาจกระทบให้ช่องทางการส่งออกทางฝั่งแม่สอดหายไป ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการมองหาช่องทางใหม่เข้ามาทดแทน แต่หากสถานการณ์ในเมียนมาคลี่คลายลงก็คาดว่าสถานการณ์ขนส่งสินค้าก็จะกลับมาใช้ได้ตามปกติ