นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บลูบิค กรุ๊ป (BBIK) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนย้ายเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในปี 2568 หลังจากจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เพียง 2 ปี หลังจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 เมษายน 2567 มีมติเอกฉันท์อนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนชำระแล้วจาก 54,441,200 บาท เป็น 100,008,484 บาท โดยออกหุ้นเพิ่มทุน 91,134,568 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น เพื่อให้บริษัทมีคุณสมบัติเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่ปรับปรุงใหม่ของ SET ซึ่งจะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ของบริษัทดีขึ้น โดยเฉพาะการเข้าประมูลงานขนาดใหญ่และการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องหุ้น (Free Float) อีกด้วย
ทั้งนี้ ที่ประชุมผู้ถือหุ้นยังมีมติอนุมัติจ่ายปันผล 0.80 บาทต่อหุ้น แบ่งเป็นเงินสด 41.54 ล้านบาท หรือ 0.3815 ต่อหุ้น และหุ้นปันผล 45.57 ล้านบาท หรือ 0.4185 บาทต่อหุ้น ในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 0.837 หุ้นปันผล ซึ่งการเพิ่มทุนจดทะเบียนข้างต้นเพื่อรองรับการการจ่ายปันผลเป็นหุ้นสามัญ โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 2 พฤษภาคม 2567 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 21 พฤษภาคม 2567
"การย้ายเข้าไปซื้อขายใน SET ของ บลูบิค เป็นการตอกย้ำถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ที่สะท้อนผ่านการเติบโตของผลประกอบการที่ทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ในปี 2556 จนถึงปัจจุบัน โดยบลูบิคเชื่อมั่นว่าภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งมากขึ้นหลังจดทะเบียนใน SET จะส่งผลบวกต่อการประมูลงานมูลค่าสูง การขยายธุรกิจในอนาคต อีกทั้งยังช่วยสร้างความมั่นใจในแง่เสถียรภาพการเติบโตให้กับพนักงานและผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย รวมถึงเพิ่มโอกาสรองรับนักลงทุนสถาบันทั้งในและต่างประเทศอีกด้วย" นายพชร กล่าว
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในปี 2567 บริษัทเชื่อมั่นว่าผลประกอบการยังคงเติบโต จากปี 2566 ที่บริษัทมีกำไรสุทธิ 303 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า (YoY) และรายได้ 1,313 ล้านบาท เติบโตขึ้น 133%
ปัจจัยใหม่ที่จะเข้ามาสนับสนุนการเติบโตในปีนี้ ได้แก่ การถือครองสัดส่วนหุ้นของบริษัท Innoviz เพิ่มเป็น 85% ทำให้การแบ่งปันกำไรส่วนที่เป็นของบริษัทแม่จะขยับขึ้นตามไปด้วย และการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมในส่วนของ Innoviz จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในไตรมาสแรกของปีนี้
ในส่วนของแผนการดำเนินงาน บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการประสานการทำงาน (Synergy) ระหว่างบริษัทแม่และบริษัทในเครืออย่างเข้มข้นต่อเนื่อง เพื่อรองรับแผนการเติบโตและเทรนด์การทำธุรกิจใหม่ ๆ ดังต่อไปนี้
1. การขยายและยกระดับการให้บริการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันที่มีความซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งจะหนุนให้สัดส่วนรายได้จากบริการหลักขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยเฉพาะบริการเกี่ยวกับการพัฒนา Super App รวมถึงการอัปเกรดระบบหรือแอปพลิเคชันด้วย Event Driven Nano Service Architecture หรือ EDNA ที่ทำให้ Maintainability ของซอฟต์แวร์ทำได้ง่ายขึ้น รวมถึงการบริการด้าน Generative AI และการบริการที่ปรึกษาด้าน Cybersecurity ซึ่งทั้งหมดเป็นเทรนด์เทคโนโลยีกระแสหลักในการทำธุรกิจยุคใหม่
2. การรุกตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพเติบโตด้านเทคโนโลยีสูง ได้แก่ ประเทศเวียดนามและกลุ่มประเทศยุโรป
3. การทำ Up-Selling และ Cross-Selling อย่างเข้มข้น พร้อมดัน Employee Utilization Rate ของบริษัทลูกให้เพิ่มสูงขึ้น
"บริษัทเชื่อมั่นว่าแม้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจะส่งผลต่อแผนการลงทุนของภาคธุรกิจ แต่ความต้องการด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันยังคงเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและความซับซ้อนของเทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้น ที่ทำให้การลงทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมต้องทำอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีการปรับแผนการดำเนินงานอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้สอดรับกับเทรนด์ความต้องการทางธุรกิจและการพิจารณาการใช้งบประมาณที่เข้มงวดมากขึ้นของลูกค้า นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้าหาพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่สามารถสร้าง Synergy และทำให้บริการของบลูบิคและบริษัทในเครือมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว" นายพชร กล่าว