ราคาทองคำในตลาดโลกเดือนเมษายน ร้อนแรงไม่แพ้อากาศ ขึ้นไปทำ All Time High แตะ 2,431 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ และลงไปต่ำสุดที่ระดับ 2,228 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ทิ้งช่วงห่างกันถึง 200 เหรียญสหรัฐเลยทีเดียว
เมื่อเกิดเหตุระทึกเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว (19 เม.ย.) ข่าวอิสราเอลส่งโดรนเข้าโจมตีอิหร่าน ทำให้เกิดความกังวลสงครามในตะวันออกลางจะทวีความรุนแรงขึ้น ผลักดันให้ราคาทองดีดขึ้นพรวดแตะ 2,417 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ขณะที่ทองคำแท่งไทยทำจุดสูงสุดที่ 42,000 บาท รับอานิสงส์จากเงินบาทอ่อนค่าด้วยเช่นกัน
แต่ต้นสัปดาห์นี้ราคาทองคำไหลลงมาแรง หลังจากอิหร่านไม่ตอบโต้อิสราเอล ทำให้สงครามในตะวันออกกลางไม่บานปลาย แต่ก็ลงไปไม่นานก็รีบาวด์กลับขึ้นมาได้บ้าง
ความผันผวนของราคาทองคำ ทำให้ต้องติดตามประเมินสถานการณ์กันอย่างไม่กะพริบตากันเลยทีเดียว วันนี้ "Wealth Me Please" มาพูดคุยกับกูรูวงการทอง นายวรุต รุ่งขำ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ถึงมุมมองทิศทางราคาทองคำ รวมถึงแนะนำกลยุทธ์การลงทุน
นายวรุต ระบุว่า สิ่งที่ต้องจับตาคือ การเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (Core PCE) ของสหรัฐในวันศุกร์นี้ (26 เม.ย.) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ถ้า PCE ปรับตัวขึ้นจะเกิดความกังวลเงินเฟ้อสหรัฐเพิ่มขึ้นไปด้วย และเฟดก็คงยังไม่รีบลดดอกเบี้ย ก็มีโอกาสที่ราคาทองคำจะอ่อนตัว
อย่างไรก็ตาม เทรนด์ราคาทองคำในระยะยาว วายแอลจีฯ มองว่ายังเป็นขาขึ้น จากปัจจัยหลัก ได้แก่ เฟดจะปรับลดดอกเบี้ยคาดปรับลดครั้งแรกช่วงปลายปี จะช่วยหนุนโอกาสที่ราคาทองคำจะขึ้นไปทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้, ปัจจัยความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ที่มีมากขึ้น และความต้องการทองคำของธนาคารกลางประเทศต่างๆ เพื่อเป็นทุนสำรองมีมากขึ้น แทนเงินดอลลาร์สหรัฐที่มีโอกาสเสื่อมค่า
นายวรุต ยังมองราคาเป้าหมายทองคำในปีนี้ที่ 2,500 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ หรือคิดเป็นราคาทองในประเทศที่ 43,800 บาท บนสมมติฐานเฟดปรับลดดอกเบี้ย 2-3 ครั้งตามที่เคยส่งสัญญาณออกมา แต่หากเฟดดดอกเบี้ยน้อยกว่าคาด ก็จะเป็นแรงกดดันให้ราคาทองปรับลงได้ ให้แนวรับสำคัญที่ 2,228 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ หรือทองไทย 39,000 บาท
https://youtu.be/eSokrUIV2ts