นายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง (TPCH) กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 67 คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน โดยในปีนี้บริษัทประเมินว่ายังสามารถรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ครบ 8 แห่ง ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล CRB, MWE, MGP, TSG, PGP, SGP , PTG มีกำลังการผลิตติดตั้ง 80 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ สยาม พาวเวอร์ นนทบุรี (SPNT) ซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้ง 9.5 เมกะวัตต์
"ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตที่ระดับ 10% จากธุรกิจพลังงานทดแทน ทั้งโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลและโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 99.4 เมกะวัตต์ พร้อมทั้งเดินหน้าพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานขยะอีกหลายโครงการ ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายมีกำลังการผลิตรวมจากโรงไฟฟ้าในประเทศ 150 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าประเภทพลังงานชีวมวล 80 เมกะวัตต์ โรงไฟฟ้าประเภทพลังงานขยะ 70 เมกะวัตต์ และโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมในต่างประเทศ 350 เมกะวัตต์ เพื่อให้มีกำลังการผลิตรวม 500 เมกะวัตต์ ภายในปี 2569"
ล่าสุด โครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน สยาม พาวเวอร์ หนองสาหร่าย (SPNS) ซึ่งดำเนินการภายใต้ บริษัท สยาม พาวเวอร์ จำกัด และ TPCH ถือหุ้นในสัดส่วน 50% โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งอยู่ที่ 9.9 เมกะวัตต์ ได้เซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะสามารถ SCOD ภายในวันที่ 29 ธันวาคม 2569 สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะ สยาม พาวเวอร์ นากลาง (SPNK) ขององค์การบริหารส่วนตำบลนากลาง ตั้งอยู่ที่ตำบลนากลาง อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ คาดว่า จะสามารถเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ภายในปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะเพิ่มอีกประมาณ 4 โครงการ ภายใต้บริษัท สยาม พาวเวอร์ จำกัด ประกอบด้วย SP4-SP7 ซึ่งเป็นโครงการรูปแบบ VSPP (Very Small Power Producer) เพื่อเข้าร่วมโครงการรับซื้อไฟฟ้าของภาครัฐ และขณะนี้ จำนวนขยะชุมชนมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่า จะมีการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขยะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งเป็นโอกาสทางธุรกิจให้กับ TPCH
ขณะเดียวกัน การลงทุนธุรกิจพลังงานทดแทนในต่างประเทศ บริษัทฯ ได้เข้าร่วมลงทุนกับ บริษัท แม่โขง พาวเวอร์ จำกัด (MKP) ในสัดส่วน 40% ที่ประกอบธุรกิจผลิต และจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ใน สปป.ลาว และ MKP ได้ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าจำนวน 100 เมกะวัตต์ กับรัฐวิสาหกิจไฟฟ้าลาว (EDL) เรียบร้อยแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนปรับพื้นที่เตรียมการก่อสร้าง คาดว่า จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในช่วงไตรมาส 2/2567 รวมทั้ง มีแผนที่จะส่งไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ไปจำหน่ายในประเทศเวียดนามอีกหนึ่งโครงการ
สำหรับการลงทุนในประเทศกัมพูชา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาต โดยตั้งเป้าการมีกำลังการผลิตของโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ ประมาณ 180-200 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานลม ประมาณ 50-100 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้จดทะเบียนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของบริษัทฯ ทุกโครงการสำหรับคาร์บอนเครดิต โดยคำนวณจำนวนคาร์บอนเครดิตได้รับต่อปีและได้ลงนามในสัญญาขายคาร์บอนเครดิต เพื่อหารายได้เพิ่มเติมให้กับบริษัทฯ แล้ว สำหรับโครงการที่กำลังพัฒนานั้น มีการศึกษาการลงทะเบียนคาร์บอนเครดิตในมาตรฐานต่างๆ มาตั้งแต่เริ่มศึกษาโครงการ เพื่อหาโอกาสและประโยชน์ของโครงการให้เกิดประโยชน์สูงสุด มูลค่าของรายได้คาร์บอนเครดิตไม่ได้ถูกนำมาคำนวณในการตัดสินใจลงทุน เนื่องจากแพลตฟอร์มและความผันผวนของราคา อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มั่นใจว่า คาร์บอนเครดิตจะสามารถเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทได้ในอนาคต
สำหรับโครงการต่างประเทศก็จะมีการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตในรูปแบบมาตรฐานสากลเพื่อที่จะสร้างความมั่นใจกับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่สนใจอยากร่วมลงทุนโครงการในอนาคต เป็นแบบอย่างโครงการที่ดีที่มีส่วนช่วยเหลือสังคม และอีกทั้งยังสามารถสร้างรายได้ให้บริษัทไปพัฒนาโครงการต่อไป