นายตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.จิตตะ เวลธ์ (Jitta) เปิดเผยว่า จิตตะได้เปิดตัว Jitta Market Prediction ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ในแบบ AI Predictive Analytics ที่มีการนำฐานข้อมูลการลงทุนมาวิเคราะห์ในทุกมิติ สร้างโมเดล เพื่อเฟ้นหาตลาดที่น่าลงทุน และมีศักยภาพที่จะสร้างผลกำไรดีที่สุดในอนาคต ช่วยให้การลงทุนมีประสิทธิภาพ แม่นยำ และสร้างผลตอบแทนได้ดีมากขึ้น โดย AI บ่งชี้ว่า เวลานี้ หุ้นจีน-ฮ่องกงเป็นตลาดที่น่าลงทุน และมีโอกาสสร้างผลตอบแทน ในระยะยาวได้มากที่สุด
โดยตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นจีนสามารถฟื้นตัวได้จริง ตามที่ได้คาดการณ์ไว้ ผลตอบแทน (YTD) ของ Jitta Ranking ประเทศจีนเป็นอันดับ 1 จาก 115 กองทุนจีนในไทย โดย Jitta Ranking หุ้นจีนเพิ่มขึ้น 21.02% และ Jitta Ranking หุ้นเทคโนโลยีจีน เพิ่มขึ้น 21.16% เทียบกับดัชนี CSI 300 ที่เพิ่มขึ้น 6.44% ขณะที่ Jitta Ranking หุ้นฮ่องกงเพิ่มขึ้น 16.30% เทียบกับดัชนี Hang Seng 5.80% ซึ่งในระยะยาวหากมองปัจจัยพื้นฐานการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ รวมทั้งคาดว่าความกังวลประเด็นลบเริ่มคลี่คลายส่งผลให้ตลาดหุ้นจีนยังไปต่อได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้คือประเด็นการเมืองในประเทศ
"ทั้งนี้อัตราส่วนหุ้นถูกแพงของตลาดหุ้นจีน ณ สิ้นเดือนเม.ย. 67 อยู่ที่ราว 9 เท่า ตามผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในจีนที่มีการเติบโตต่อเนื่อง และหากเทียบกับจุดสูงสุดของดัชนีตลาดหุ้นจีนที่ประมาณ 5,000 จุด ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3,100 จุด ยังมีโอกาสที่ดัชนีปรับตัวขึ้นอีกแทบจะเท่าตัว เป็นไปได้ว่าภายใน 3-5 ปีข้างหน้า ดัชนีควรเข้าไปแตะใกล้ระดับจุดสูงสุดเดิม"
นอกจากนี้หุ้นเทคโนโลยีขนาดเล็กยังมีความน่าสนใจ หลังจากปรับตัวลงแรง ขณะที่หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ฟื้นตัวและเริ่มทรงตัว แต่หุ้นเทคโนโลยีหลายตัวผลประกอบการเริ่มพลิกเป็นกำไร และจะหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นด้วย
"ด้วยความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยี AI และการบริหารจัดการพอร์ตโดยอัตโนมัติ ทำให้จิตตะ มีข้อมูลวิเคราะห์หุ้นทั่วโลก พอร์ตการลงทุนจำนวนมาก และพฤติกรรมการลงทุนเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพในมิติต่างๆ ตลอดระเวลา 12 ปีที่ผ่านมา รวมถึงอัลกอริทึมได้ผ่านการทดสอบภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นหลายครั้ง หลายครา AI เรียนรู้จากเหตุการณ์และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงของตลาดหุ้น (Evidence- Based) ในทุกวัฏจักรการลงทุนมาแล้ว ทำให้สามารถพัฒนาโซลูชันที่จะทำให้ การลงทุนมีทางเลือกและมีโอกาสมากกว่าที่ผ่านมาได้ดีที่สุด"
ขณะที่ตลาดหุ้นไทยมองว่าราคาค่อนข้างถูก อยู่ในจุดที่พอจะเข้าลงทุนได้ แต่ยังมีตลาดหุ้นอื่นที่ถูกกว่า เช่น จีน รวมทั้งอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจยังน้อยกว่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ทำให้เงินไหลออกไปสู่ตลาดอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า
สำหรับมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (AUM) ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 15,000 ล้านบาท โดยมีจำนวนกองทุนส่วนบุคคลกว่า 68,000 พอร์ต ซึ่งใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาจัดการบริหารพอร์ตทั้งหมด และบริษัทจะพยายามสร้างการเติบโตมากกว่านี้ ซึ่งหากแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยี AI สามารถวิเคราะห์และให้ผลตอบแทนดีกว่ากองทุนอื่น ๆ ได้เชื่อว่าจะเป็นทางเลือกหนึ่งที่ทำให้คนสนใจเข้ามาลงทุนกับบริษัทได้มากขึ้น
ไม่เพียงเท่านั้น จิตตะ ยังพัฒนาเทคโนโลยี AI มาเชื่อมต่อระบบนิเวศการเงินส่วนบุคคล ก้าวไปสู่แพลตฟอร์ม เพื่อการใช้จ่าย-ออม-ลงทุน ที่เรียกว่า Jitta Card เทคโนโลยีที่จะมาช่วยปลดล็อกอุปสรรคใหญ่ของคนไทยด้านพฤติกรรมการใช้จ่ายเงิน รวมถึงการไม่มีวินัยที่ดีพอ โดย Jitta Card ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยีมาออกแบบการลงทุนขนาดเล็ก (Micro Investment) ช่วยให้ทุกการใช้จ่ายมีเงินออม และส่งไปลงทุนได้โดยอัตโนมัติ และเตรียมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเป็นแห่งแรกของเอเชียในช่วงครึ่งปีหลัง
โดยบริษัทคาดหวังว่า Jitta Card จะสามารถช่วยคนไทย 1 ล้านคนสามารถเก็บออมเงินได้เพียงเดือนละ 1,000 บาท และลงทุนได้ง่าย โดยปัจจุบันเปิดให้ลงทุนในกองทุน Jitta Wealth เป็นหลักซึ่งในอนาคตอาจมีกองทุนอื่นให้บริการด้วย ทั้งนี้มองว่า Jitta Card จะเข้ามาช่วยหนุนให้มูลค่าพอร์ตกองทุนของบริษัทเติบโตขึ้น
"จิตตะยังคง เรียนรู้และพัฒนาเทคโนโลยีการเงินและการลงทุน ให้ตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินและลดอุปสรรคทางการเงินของคนไทย เพื่อช่วยให้ทุกคนเข้าถึงการลงทุนที่ดีด้วยวิธีการที่เรียบง่าย ซึ่งจะนำไปสู่สุขภาพทางการเงินที่แข็งแกร่งได้ในระยะยาว" นายตราวุทธิ์