นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวถึงการขยายเวลาเปิดรับสมัครผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯคนใหม่ว่า อาจจะมาจากการที่ไม่มีผู้ที่สนใจเข้ามาสมัคร ซึ่งยอมรับว่าผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯคนใหม่ที่จะเข้ามามีงานที่ท้าทายในการผลักดันตลาดทุนไทยให้เดินไปข้างหน้าอยู่ค่อนข้างมาก และมีควลมท้าทายอยู่มาก โดยเฉพาะ 3 เรื่องที่ FETCO อยากฝากถึงคนที่จะเข้ามาสมัครเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ และจะก้าวขึ้นเป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯคนใหม่ ได้แก่
1. การทำให้ตลาดทุนไทยมีความน่าสนใจมากขึ้น ดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนได้มากขึ้น โดยเฉพาะการผลักดันให้มีบริษัทจดทะเบียนที่เกี่ยวกับด้านเทคโนโลยี หรือธุรกิจ Start-up ใหม่ๆเข้ามา เนื่องจากปัจจุบันบริษัทจดทะเบียนหลัก ๆ ในตลาดหุ้นไทยเป็นกลุ่มพลังงาน และแบงก์ โดยเฉพาะกลุ่ม PTT ที่มีน้ำหนักมากถึง 30% ในตลาดหุ้นไทย และเป็นธุรกิจที่เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของการใช้พลังงานจากฟอสซิลไปสู่พลังงานทดแทนอื่นๆ ที่ไม่สร้างคาร์บอนเพิ่มขึ้นหรือช่วยลดคาร์บอนให้กับโลก ทำให้กลุ่มพลังงานฟอสซิลถูกหลายประเทศใช้มาตรการกีดกันหรือลงโทษ จึงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยถูกลดความน่าสนใจลง ซึ่งสิ่งที่ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯคนใหม่ควรแก้ไขด้วยการหาบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มธุรกิจใหม่ ๆ หรือหาสินทรัพย์ใหม่ๆ เข้ามาเพิ่ม โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี หรือ Start-up ที่เข้ามาช่วยสร้างความคึกคักให้กับตลาดทุนไทย รวมถึง Digital asset ที่จะมีบทบาทมากขึ้น จากการที่ราคา Bitcoin สามารถกลับมายืนได้ในระดับเดิม ส่งสัญญาณถึงการที่ Bitcoin จะยังอยู่กับโลกการลงทุนไปอีกนาน และการลงทุนด้านเทคโนโลยีที่ยังคงเดินหน้าต่อไป
2. การขจัดด้านมืด (Dark side) ในตลาดทุนไทยอย่างเป็นรูปธรรม หลังจากที่ในช่วงที่ผ่านมาเผชิญกับปัญหาจาก MORE STARK หุ้นกู้ และหุ้นขนาดเล็ก ที่เป็นปัญหาและสร้างความเสียหายกับนักลงทุนมากมาย รวมถึงความเสียหายต่อบริษัทหลักทรัพย์และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรายใหญ่ และกระทบต่อความเชื่อมั่นของตลาดทุนไทย ซึ่งผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯคนใหม่จะต้องเข้ามาเก็บกวาด จัดระเบียบบ้านให้กลับมาน่าอยู่ขึ้น
3. การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ และการลดต้นทุนในการดำเนินการต่างๆที่มีความหยุมหยิมมากมายออกไป ทำให้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) มีต้นทุนลดลง เพราะที่ผ่านมา บล.ต่างๆ ประสบปัญหาขาดทุน และยังไม่มีกำไร ส่วนหนึ่งมาจากต้นทุนที่สูง และการที่วอลุ่มการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยหายไป ซึ่งเป็นหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์ฯที่จะต้องเข้ามาช่วยดูแลเพิ่มประสิทธิภาพ และลดต้นทุนในการดำเนินการให้ลดลง