นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT) กล่าวว่า จากจุดแข็งของธุรกิจซึ่งเป็นแพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างผลการดำเนินงานได้อย่างมั่นคง มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ และจากค่าเช่าที่เติบโตต่อเนื่องผ่านธุรกิจโรงงานและคลังสินค้า รวมถึงอาคารสำนักงานเกรดเอ พื้นที่รีเทล และโรงแรม โดยบริษัทได้อัปเกรดสินค้าและบริการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิม และขยายลูกค้ากลุ่มใหม่ พร้อมด้วยการเดินหน้าการดำเนินงานให้สอดรับกับสภาพตลาด ภายใต้แรงกดดันทางเศรษฐกิจ
สำหรับผลประกอบการ 6 เดือนแรกของปีงบการเงิน 67 (ต.ค. 66 - มี.ค. 67) มีรายได้ 6,591 ล้านบาท เป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 4,102 ล้านบาท ลดลง 881 ล้านบาท หรือ 17.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้ค่าเช่าและบริการ 1,506 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 155 ล้านบาท หรือ 11.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และรายได้อื่นๆ 983 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 187 ล้านบาท หรือ 23.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 487 ล้านบาท
ส่วนผลประกอบการไตรมาส 2 ปีงบการเงิน 67 (ม.ค.-มี.ค. 67) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ส่งผลให้มียอดขายสูงกว่า 6,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยังเผชิญกับภาวะดอกเบี้ยสูงและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อยอดการปฏิเสธการขอสินเชื่อจากธนาคาร ทำให้สามารถสร้างรายได้ 2,371 ล้านบาท โดยได้เปิดโครงการใหม่ คือ เดอะแกรนด์ แจ้งวัฒนะ-เมืองทอง มูลค่า 2,100 ล้านบาท ภายใต้การปรับกลยุทธ์การดำเนินงานในการระบาย สต๊อกสินค้าควบคู่กับการจัดแคมเปญทางการตลาด
นอกจากนี้บริษัทเตรียมเปิดอีก 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 5,100 ล้านบาท ครอบคลุมสินค้าทั้งบ้านคุณภาพสูงภายใต้แบรนด์เดอะ แกรนด์, แกรนดิโอ และนีโอโฮมบนทำเลกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด พร้อมทั้งคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์แบรนด์โคลส รัชดา 7 (KLOS Ratchada 7)
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมและอสังหาริมทรัพย์เพื่อพาณิชยกรรม ทำรายได้รวม 772 ล้านบาท ซึ่งธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าได้รับอานิสงส์ต่อเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติที่ย้ายและขยายฐานการผลิตจากประเทศจีน ส่งผลให้ดีมานด์โรงงานและคลังสินค้าขยายตัว บริษัทมีอัตราการเช่ารวมของพอร์ตโฟลิโอสูงถึง 86% โดยไตรมาสนี้ได้ส่งมอบคลังสินค้าทั้งแบบสร้างตามความต้องการ (Built-to-Suit) และแบบสร้างตามฟังก์ชันพร้อมใช้ (Built-to-Function) รวมพื้นที่ประมาณ 40,000 ตร.ม. อีกทั้งอยู่ระหว่างการพัฒนา 2 โครงการในไทยและเวียดนามด้วยพื้นที่กว่า 86,000 ตารางเมตร ซึ่งจะทำการส่งมอบในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะเดียวกัน เตรียมขยายการลงทุนเพิ่มเติมในประเทศอินโดนีเซีย หลังมีผู้เช่าหนาแน่น และมีอัตราการเช่าเกือบ 100%
ด้านอาคารสำนักงานให้เช่าและพื้นที่รีเทลสามารถรักษาอัตราการเช่าของพอร์ตโฟลิโออยู่ที่ 92% มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นของรายได้ตามสัญญา ซึ่งบริษัทมีการยกระดับอาคารอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกที่สอดรับกับไลฟ์สไตล์และครอบคลุมความต้องการของผู้เช่าได้มากขึ้น ส่วนธุรกิจโรงแรมมีแรงหนุนจากมาตรการฟรีวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจีน และการท่องเที่ยวคึกคักจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรจากทริสเรทติ้งในระดับ "A" แนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่" ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นต่อการดำเนินธุรกิจและความมั่นคงของบริษัท