นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ในเดือน เม.ย.67 ผู้ลงทุนมีความกังวลกับความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง ส่งผลต่อราคาน้ำมันดิบโลกและทองคำปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งอาจทำให้เงินเฟ้อลดลงช้ากว่าคาด โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับสูงขึ้นสวนทางกับดัชนีหุ้นสหรัฐฯ
ทั้งนี้ ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีมติคงดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดการณ์ ซึ่งจากถ้อยแถลงของประธานเฟด คือ Jerome Powell มีแนวโน้มที่จะคงอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูงเป็นเวลานานขึ้น ขณะเดียวกันได้ส่งสัญญาณว่าจะไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกในอนาคต ทำให้ผู้ลงทุนปรับความน่าจะเป็นในการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอยู่ที่ 1-2 ครั้งในปีนี้
ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐ เคลื่อนไหวผันผวน โดยอ่อนค่านำสกุลเงินภูมิภาค ตามการคาดการณ์ทิศทางนโยบายการเงินของเฟด ประกอบกับภาคการส่งออกยังมีแรงกดดันจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง
แต่เศรษฐกิจไทยในปี 67 มีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่สูงขึ้นจากปีก่อน โดยได้รับแรงสนับสนุนต่อเนื่องจากการบริโภคภาคเอกชนและการท่องเที่ยว รวมทั้งมีการคาดการณ์ว่าจะมีแรงส่งจากการใช้จ่ายภาครัฐที่จะกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี จากทั้งรายจ่ายและการลงทุนของรัฐบาลที่เคยหดตัวตาม พ.ร.บ. งบประมาณปี 67 ที่ล่าช้าทำให้นักวิเคราะห์ปรับ Forward EPS ของ SET เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีก่อนหน้า ขณะที่ valuation ของหุ้นไทยหลาย sector ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีต
สรุปภาวะตลาดหลักทรัพย์ไทย
ณ สิ้นเดือนเม.ย.67 SET Index ปิดที่ 1,367.95 จุด ปรับลดลง 0.7% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งลดลงน้อยกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาค ทั้งนี้ปรับลดลง 2.7% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า
ในเดือนเม.ย.67 กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 66 ได้แก่ กลุ่มบริการ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และ กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร
มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันใน SET และ mai ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนมี.ค.67 มาอยู่ที่ 44,448 ล้านบาท แม้ว่าลดลง 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ 3,787 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 24
บริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่ซื้อขายใน SET มี 1 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. นีโอ คอร์ปอเรท (NEO) และใน mai 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ บมจ. เอเชียนน้ำมันปาล์ม (APO), บมจ. บีพีเอส เทคโนโลยี (BPS), บมจ. คิวทีซีจี (QTCG), บมจ. เทอร์ราไบท์ พลัส (TERA), บมจ. สโตนวัน (STX)
Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นเดือน เม.ย.67 อยู่ที่ระดับ 14.6 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียที่อยู่ในระดับ 12.2 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 17.3 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 15.5 เท่า
อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นเดือนเม.ย.67 อยู่ที่ระดับ 3.40% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.18%
ด้านภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ในเดือนเม.ย.67 ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 459,746 สัญญา ลดลง 8.0% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ SET50 Index Futures และ Single Stock Futures และในช่วง 4 เดือนแรกของปี 67 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 438,862 สัญญา ลดลง 21.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures