นายไมเคิล เดวิด มาร์แชล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) กล่าวว่า ในปี 67 เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท ตั้งเป้าหมายรายได้รวมอยู่ที่ 11,000 ล้านบาท การคาดการณ์กำไรสุทธิจะสามารถเติบโตขึ้นจากปีก่อน จากข้อได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งของโรงแรมที่ได้รับความนิยม และความสามารถในการปรับเพิ่มอัตราค่าห้องพักให้สอดคล้องกับความต้องการท่องเที่ยวที่ยังคงเติบโต อีกทั้งยังสามารถตอบสนองแนวโน้มการแสวงหาความคุ้มค่าเงิน (Value for Money) ตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี มากไปกว่านั้นยังมีแผนพัฒนาสินค้าที่หลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน อาทิ เมนูอาหาร บริการต่างๆ ได้แก่ สปา และบีชคลับ จากความมุ่งมั่นในการควบคุมต้นทุน และบริหารค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นเพื่อเพิ่มอัตราการทำกำไร (EBITDA Margin) ให้ขยายตัวขึ้นตามเป้าหมายที่วางไว้
"เรามองเห็นสัญญาณเชิงบวกในภาคการท่องเที่ยวหลายๆประเทศที่บริษัทมีการดำเนินงานอยู่ ซึ่งสอดคล้องกับยอดจองห้องพักในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้าที่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกของเรา ทั้งการเพิ่มช่องทางการขายให้สามารถเข้าถึงตลาดที่มีศักยภาพใหม่ ๆ มากขึ้น และกลยุทธ์การตั้งราคาแบบเฉพาะเจาะจงที่มีประสิทธิภาพ เช่นเดียวกับแนวโน้มผลการดำเนินงานของกิจการร่วมค้า SO/ Maldives ที่มีทิศทางดีขึ้นต่อเนื่อง รวมไปถึงแผนลดต้นทุนทางการเงิน และแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่คาดว่าจะเริ่มปรับตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง จะเป็นแรงหนุนสำคัญให้บริษัทฯ สามารถบรรลุเป้าหมายผลการดำเนินงานที่วางไว้ได้ในปี 67" นายไมเคิล กล่าว
ขณะที่ผลประกอบการในไตรมาส 1/67 มีรายได้อยู่ที่ 2,742.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการปรับปรุงห้องพักรูปแบบใหม่ของโรงแรมในพอร์ตโฟลิโอ ส่งผลให้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ย (ADR) ทั้งพอร์ตเติบโตขึ้น 24% พร้อมขับเคลื่อนแผนธุรกิจตามกลยุทธ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของพอร์ตโฟลิโอ โดยเฉพาะโรงแรมในประเทศไทย และโรงแรมในสหราชอาณาจักร รวมถึงการเปิดตัวของโรงแรม SO/ Maldives ที่ช่วยขยายฐานนักท่องเที่ยวมาสู่โครงการ CROSSROADS ได้มากยิ่งขึ้น ตอบรับการคว้าโอกาสจากความต้องการท่องเที่ยวทั่วโลกที่ขยายตัว และจับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สนใจการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตที่ต่อเนื่องและยั่งยืนของกลุ่ม
จากผลการดำเนินงานที่เติบโตขึ้น รวมถึงการบริการที่ดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งโรงแรมในประเทศไทย และโรงแรม 2 แห่งในโครงการ CROSSROADS ส่งผลให้มีอัตราเข้าพักสูงถึง 89% และความสามารถในการบริหาร ADR เพิ่มขึ้น 14% และ 10% จากไตรมาส 1/66 ตามลำดับ เช่นเดียวกันกับโรงแรมในสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ ที่มีการนำเสนอประสบการณ์เข้าพักและตอบโจทย์กระแสนิยมการท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ (Experiential Tourism) ทำให้ระดับรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) เติบโตขึ้น 36% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงภาพรวมรายได้ที่เติบโตขึ้นถึง 8% ในไตรมาสแรกของปีนี้เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นอกจากนี้ การเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและควบคุมต้นทุนยังส่งผลให้กำไรก่อน ดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา รวมถึงผลการดำเนินงานในช่วงเริ่มต้นของกิจการร่วมค้า SO/ Maldives มีผลให้กำไรสุทธิในไตรมาส 1/67 ลดลง 11% จากช่วงเดียวของปีก่อน อยู่ที่ 111.6 ล้านบาท
ผลประกอบการในไตรมาส 1/67 ที่มีรายได้และ EBITDA ของกลุ่มบริษัทเติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของกลยุทธ์การพัฒนาคุณภาพสินทรัพย์หลักที่มีศักยภาพตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี นอกจากกระแสตอบรับที่ดีของตลาดแล้ว อัตราค่าห้องพักของห้องที่มีการปรับปรุงสามารถปรับเพิ่มขึ้นได้ถึง 30-40% จากปีฐานอีกด้วย ทั้งหมดนี้จึงเป็นอีกหนึ่งแรงส่งให้เราพร้อมพัฒนาแบรนด์ภายใต้บริษัทเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความมุ่งมั่นในการพัฒนาแบรนด์ทราย (SAii) ให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล ควบคู่ไปกับการนำเสนอสินค้าและบริการที่สื่อถึงอัตลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้ตรงกับแต่ละ Lifestyle ได้มากขึ้น
การเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวของโรงแรมในประเทศไทย และมัลดีฟส์ ประกอบกับจำนวนห้องพักพร้อมให้บริการ (Available Room) ที่สามารถให้บริการได้เต็มจำนวน ส่งผลให้ระดับรายได้เฉลี่ยต่อห้อง (RevPAR) ของโรงแรมที่บริษัทบริหารจัดการเองในประเทศไทย และโรงแรมในโครงการ CROSSROADS เพิ่มขึ้น 94% และ 46% จากไตรมาส 4/66 ตามลำดับ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนให้กำไรสุทธิสำหรับในไตรมาส 1/67 เติบโตขึ้น 75% จากไตรมาสก่อนหน้า
"ความสำเร็จในไตรมาสแรกของปีนี้ นับเป็นอีกหนึ่งข้อพิสูจน์ที่เราสามารถบรรลุเป้าหมายตามแผนกลยุทธ์ที่เราได้วางไว้ โดยในอนาคต SHR จะเดินหน้าปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ และพัฒนามาตรฐานแบรนด์ทราย (SAii) ที่เป็นอีกหนึ่งตัวชูโรงของเรา เพื่อมอบประสบการณ์เข้าพักที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ผู้เข้าพัก และสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ควบคู่ไปกับการเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ ในทุกพอร์ตโฟลิโอและการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินงานของบริษัท เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าที่สุดให้แก่ผู้ถือหุ้น และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกส่วน" นายไมเคิล กล่าว