นพ.วิวัฒน์ กว้างคณานุรักษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยากด้วยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซฟ เฟอร์ทิลิตี้ กรุ๊ป (SAFE) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 1/67 (สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.67) มีกำไรส่วนของบริษัทใหญ่ 66.71ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.47 ล้านบาท หรือ 84% ส่วนรายได้จากการขายและให้บริการอยู่ที่ 251.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63.29 ล้านบาท หรือ 34% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้ 187.83 ล้านบาท
รายได้และกำไรของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นจากรายได้จากการให้บริการการรักษาผู้มีบุตรยากที่เพิ่มขึ้นจากจำนวนรอบของการเก็บไข่ (treatment cycle) เพิ่มขึ้น โดยลูกค้าชาวไทยเพิ่มขึ้น 36% และลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้น 17% และรายได้จากการให้บริการตรวจพันธุกรรมของตัวอ่อนและทารกในครรภ์ ที่เติบโตตามธุรกิจ IVF ที่ขยายตัวต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสการตั้งครรภ์และความสมบูรณ์ของบุตรที่จะคลอดออกมา โดยการตรวจคัดกรองพันธุกรรมของตัวอ่อน (PGT-A) เพิ่มขึ้น 46% และ การตรวจหาความผิดปกติของโครโมโซมทารกจากเลือดแม่ (Qualifi) เพิ่มขึ้น 24%
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 67 บริษัทฯ คาดว่าจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยจะมุ่งสร้างการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ พร้อมเดินหน้าลงทุนเทคโนโลยีใหม่ที่จะช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ และการเพิ่มผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ ในธุรกิจด้าน Wellness รวมถึงแผนร่วมลงทุนในธุรกิจที่สร้าง Synergy ให้กับกลุ่มบริษัท และในปีนี้ตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 25% สร้างสถิติสูงสุดใหม่
ทั้งนี้การที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เตรียมทบทวนปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงบริการกับคู่รักสามีภรรยาที่มีลูกยาก เบื้องต้นจะมีการปรับแก้เกณฑ์กฎหมาย "พ.ร.บ.อุ้มบุญ" ในปี 67 บริษัทฯ มองเป็นผลบวกต่อกลุ่ม SAFE โดยตรง เนื่องจากเป็นผู้ให้บริการการรักษาผู้มีบุตรยาก ที่เป็นชาวต่างชาติในหลายสัญชาติ ซึ่งมีสัดส่วนกว่า 50% ของเคสทั้งหมดเฉลี่ยต่อปี เช่น เวียดนาม อินเดีย จีน เมียนมา สิงคโปร์ และญี่ปุ่น เป็นต้น ทำให้เป็นที่รู้จักของลูกค้าในหลายประเทศอยู่แล้ว และมีอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์สูงเกิน 70%