นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) กล่าวว่า ผลประกอบการไตรมาส 1/67 ดีที่สุดเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่อง ด้วยผลกำไรจากการดำเนินงานเติบโตก้าวกระโดดตามกลยุทธ์การขยายพอร์ตโฟลิโอทรัพย์สินคุณภาพ โดยเฉพาะทรัพย์สินดำเนินงานใหม่ของกลุ่มโรงแรมและการบริการที่เติบโตต่อเนื่อง ทำสถิติเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์แข็งแกร่งเหนือกว่าปี 62 ด้วยผลกำไรจากการดำเนินงาน (HOTEL EBITDA) ตามผลประกอบการซึ่งไม่รวมมูลค่ายุติธรรมเติบโตอย่างแข็งแกร่งสูงสุดอยู่ที่ 1,401 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62 ซึ่งเป็นช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 และเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด 43% จากไตรมาสก่อนหน้า
จากการดำเนินงานที่โดดเด่นต่อเนื่องด้วยความสามารถในการสร้างรายได้เฉลี่ยต่อวัน (ADR) ที่เติบโตสู่ระดับสูงสุดที่ 6,298 บาท/คืน เช่นเดียวกับรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) เติบโตสู่ระดับสูงสุดที่ 4,711 บาท นอกจากนี้ยังมีการเติบโตของจำนวนการจองห้องพักล่วงหน้าที่ 753,841 คืนในการเข้าพัก สูงที่สุดตั้งแต่ปี 62 เป็นต้นมา ผลการดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการที่โดดเด่น มาจากการเพิ่มขึ้นของทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวคุณภาพ (High-to-Luxury) ซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักของบริษัทที่สนับสนุนการเติบโตให้กับทุกกลุ่มโรงแรมของ AWC โดยเฉพาะกลุ่มรีสอร์ทระดับลักชัวรี โรงแรมในกรุงเทพ และโรงแรมอื่นๆ นอกกรุงเทพ สามารถสร้างรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) และรายได้เฉลี่ยต่อวัน (ADR) ได้อย่างโดดเด่นเติบโตสู่ระดับสูงสุด ซึ่งอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (Occupancy Rate) ในไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 74.8% และมี EBITDA ต่อรายได้ของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและบริการ (HOTEL EBITDA MARGIN) เท่ากับ 42.1% เพิ่มขึ้น 7.5% จากไตรมาสก่อนหน้า และเติบโตกว่าปี 62
ขณะที่ไตรมาส 1/67 บริษัทมีกำไรสุทธิเติบโตสู่ระดับสูงสุดที่ 1,604 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.1% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากรายได้รวม 5,440 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 10.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และรวมกำไรจากการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจ (BU EBITDA) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 62
AWC ยังเดินหน้าสร้างการเติบโตตามกลยุทธ์การเติบโต (GROWTH-LED Strategy) โดยสามารถเพิ่มผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้นย้อนหลัง 12 เดือน ณ ไตรมาส 1/67 เพิ่มขึ้น 76% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเสริมกลยุทธ์เพิ่มความแข็งแกร่งเพื่อพัฒนาเป็น Retail Destination ให้กับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า และเปิดประสบการณ์ Co-Living Collective: Empower Future ให้กับกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน รวมถึงเพิ่มศักยภาพของทรัพย์สินในช่วงดำเนินงานเริ่มต้น (RAMP UP) มาสู่ระดับดำเนินงานปกติ (BAU) ด้วยการร่วมเพิ่มพลังกับพันธมิตรระดับโลกในการเข้าถึงฐานลูกค้าจาก 400 ล้านคน เป็น 600 ล้านคนทั่วโลก และสร้างมูลค่าทรัพย์สิน Freehold ถึง 94% ที่ช่วยสร้างการเติบโตของกระแสเงินสดอย่างแข็งแกร่ง เพื่อคุณค่าที่ยั่งยืนให้ผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย โดยในไตรมาส 1/67 บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมดอยู่ที่ 149,550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% เมื่อเทียบกับปี 62 โดยคิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินดำเนินงาน 109,526 ล้านบาท
AWC มุ่งพัฒนา ปรับปรุง และเพิ่มศักยภาพให้กับทรัพย์สินคุณภาพอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเพิ่มมูลค่าของทรัพย์สินดำเนินงานผ่านการเปิดห้องอาหารและคาเฟ่ชั้นนำระดับโลกในกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ เช่น "หงส์ ไชนีส เรสเตอรองท์ แอนด์ สกาย บาร์" ห้องอาหารจีนบนชั้นดาดฟ้าแห่งแรกของเชียงใหม่ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง โฮเทล และ "คาเฟ เดอ เพทาย" คาเฟ่สไตล์ยุโรป ณ อาคารแอทธินี ทาวเวอร์ นอกจากนี้ ยังได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน "Pikul" ที่อำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการโรงแรม ห้องอาหาร และบริการด้านไลฟ์สไตล์ในเครือ AWC และจากพันธมิตรชั้นนำในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอีกด้วย โดยในไตรมาส 1/67 AWC มีจำนวนโรงแรมที่เปิดดำเนินการทั้งหมด 22 โรงแรม รวมจำนวน 6,029 ห้อง และห้องอาหาร (Restaurant Outlet) อีกกว่า 80 แห่งที่ตั้งอยู่ในโรงแรมและจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทย
สำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ AWC ได้วางกลยุทธ์เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์และความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละพื้นที่ ในขณะที่กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานยังคงสามารถรักษาระดับรายได้ของธุรกิจได้อย่างมั่นคงและต่อเนื่องจากความต้องการเช่าพื้นที่สำนักงานเกรดเอที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันตอบรับเทรนด์การทำงานแบบไฮบริด นอกจากนี้ AWC ได้เตรียมเปิดโครงการ "Phenix" (ฟีนิกซ์) ศูนย์กลางด้านอาหารที่ประกอบด้วยฮับค้าส่งอาหารระดับโลก (World?s Food Wholesale Hub) ตั้งอยู่บนพื้นที่ยุทธศาสตร์ย่านประตูน้ำ ใจกลางกรุงเทพฯ เชื่อมต่อทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ครั้งแรกของโลก ที่จะเปิดตัวในวันที่ 26 มิ.ย. 67 ผ่านการผนึกกำลังกับหลากหลายพันธมิตรระดับโลก
รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมโครงการ EA ROOFTOP AT THE EMPIRE (เอ-ย่า รูฟทอป แอท ดิ เอ็มไพร์) ซึ่งประกอบไปด้วย EA GALLERY แหล่งรวมร้านอาหารนานาชาติชั้นนำมากมายท่ามกลางทัศนียภาพที่ดีที่สุดของกรุงเทพฯ EA CHEF'S TABLE แหล่งรวมร้านอาหารสร้างสรรค์โดยเชฟระดับมิชลินสตาร์จำนวน 3 แห่ง และห้องอาหาร Nobu Bangkok แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย และยังเป็นห้องอาหาร Nobu ที่สูงและใหญ่ที่สุดในโลก ณ อาคาร "เอ็มไพร์" อาคารสำนักงานเกรดเอ ใจกลางย่านสาทร ที่มุ่งพัฒนากรุงเทพสู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่มบนรูฟทอปที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ในปี 67 ทางบริษัทมีแผนที่จะเดินหน้าพัฒนา "ลานนาทีค เดสทิเนชั่น" (Lannatique) โครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพเพื่อสร้างจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลกใจกลางเมืองเชียงใหม่ ซึ่งมีการเข้าลงทุนในทรัพย์สินบนพื้นที่ยุทธศาสตร์ย่านช้างคลานเพิ่มเติม เพื่อพัฒนาเป็นโรงแรมภายใต้แบรนด์ระดับลักชัวรี และสร้างสวนน้ำในโรงแรมแห่งแรกของจังหวัดเชียงใหม่ โดยเชื่อมั่นในคุณค่าศิลปวัฒนธรรมอันโดดเด่นของไทยและศิลปะล้านนาที่พิเศษและทรงคุณค่ามาอย่างยาวนาน โดยล่าสุดได้รับมติเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทอนุมัติเข้าลงทุนในทรัพย์สินแปลงกลางเมืองบนพื้นที่ยุทธศาสตร์ของย่านช้างคลานในโครงการ "เชียงใหม่ ไนท์ บาร์ซา" โครงการ "กาแล ไนท์ บาร์ซา" และโครงการ "เดอะ พลาซ่า เชียงใหม่" ที่จะได้รับการพัฒนาเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ?ลานนาทีค เดสทิเนชั่น? ซึ่งจะเริ่มเปิดให้บริการเฟสแรกในปลายปี 67
พร้อมกับการต่อยอดด้วยการเปิดโครงการเฟสต่างๆ ต่อเนื่องในช่วง 5 ปี เพื่อสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และส่งเสริมการสร้างงานและเศรษฐกิจในพื้นที่ ด้วยงบลงทุนและพัฒนาที่จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้จังหวัดเชียงใหม่ รวมมูลค่ากว่า 11,950 ล้านบาท รวมถึงการเข้าลงทุนเพิ่มในโครงการอสังหาริมทรัพย์คุณภาพบนพื้นที่ระดับไพรม์โลเคชั่นในอีก 2 จุดหมายสำคัญของกรุงเทพฯ ประกอบไปด้วย โครงการโอพี การ์เด้น ย่านบางรัก เพื่อเชื่อมต่อกับโครงการแฟลกชิป โรงแรม เดอะ พลาซ่า แอทธินี โนบุ โฮเทล แอนด์ สปา แบงคอก ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ส่งเสริมจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวริมสายน้ำ คาดว่าจะเปิดดำเนินการประมาณไตรมาส 4/70 และโครงการโรงแรมในพื้นที่ถนนสุขุมวิท 38 เพื่อพัฒนาโครงการโรงแรมด้านเวลเนส คาดว่าจะเปิดดำเนินการประมาณไตรมาสที่ 3 ปี 2571 เพื่อสนับสนุนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนระดับโลก
นอกจากนี้ AWC ยังได้สร้างปรากฏการณ์ด้านความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยสู่มาตรฐานโลกครั้งสำคัญ ด้วยความสำเร็จในการได้รับคะแนนด้านความยั่งยืนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมโรงแรม รีสอร์ท และเรือสำราญ และยังติดอันดับ Top 1% (Gold Class) จากการประเมินและจัดอันดับของ S&P Global ที่ประกาศอย่างเป็นทางการใน The Sustainability Yearbook 2024 นอกจากนี้ AWC ยังได้ร่วมมือกับพันธมิตรสถาบันการเงินชั้นนำในการจัดหาวงเงินสินเชื่อระยะยาวที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน และสามารถเพิ่มสัดส่วนวงเงินดังกล่าวเป็นร้อยละ 100 ได้สำเร็จเป็นที่เรียบร้อย เปรียบเสมือนเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนตามพันธกิจ "สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า" เพื่อร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก