ด้านโครงสร้างรายได้ของ CMO หลักๆมาจากการจัดงานอีเวนต์ และธุรกิจซัพพลายอุปกรณ์ระบบภาพแสงเสียง ซึ่งบริษัทมีกลุ่มลูกค้าครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มธุรกิจยานยนต์, กลุ่มธุรกิจเครื่องสำอางและความงาม, กลุ่มธุรกิจการเงินการธนาคาร รวมไปถึงกลุ่มธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ เป็นต้น โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีผลงานที่น่าสนใจ เช่น จัดงานเปิดคอลเลคชั่นใหม่ของแบรนด์ GENTLEWOMAN, งาน Lancôme Idole House เปิดตัวน้ำหอมใหม่, Miss Dior Parfum Pop up, งานสถาปนิกสยาม 67, งาน Makro "ตลาดนัดโชห่วย", งานเทศกาลดนตรี Major Movie on the Beach ครั้งที่ 9, งานเปิดแฟลกชิปสโตร์ "POP MART Hello Central Ladprao", งานพาวิลเลี่ยนของธนาคารกรุงเทพ ในงาน Money Expo, นิทรรศการชุดใหม่ Elextrosphere โลกใหม่ Right Carbon ของศูนย์การเรียนรู้ กฟผ. สำนักงานกลาง ตลอดจนไปบริหารจัดการพาวิลเลี่ยนของ ปตท.สผ.ที่ไปร่วมจัดแสดงนวัตกรรมในต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศซาอุดิอาระเบีย และประเทศมาเลเซีย เป็นต้น
แผนงานของบริษัทในปีนี้ยังเน้นโฟกัสงานรูปแบบการสร้างโปรเจกต์ของตัวเองขึ้นมา (OWN-PROJECT) โดยบริษัทได้เริ่มมาตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งร่วมกับสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ (PMCU) จัดงานเทศกาลเคานต์ดาวน์ที่สยามสแควร์ ภายใต้ชื่อ "Siam Square Countdown" ซึ่งปีนี้เตรียมจะจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 หลังจากที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก และบริษัทยังมีงาน OWN- PROJECT ที่อยู่ระหว่างศึกษาอีกหลายโปรเจ็กต์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่ยังมีความเกี่ยวข้องกับงานอีเวนต์และธุรกิจความคิดสร้างสรรค์ที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว
ขณะเดียวกันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ราว 755 ล้านบาท ที่จะมีการทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ และยังมีงานที่อยู่ระหว่างการประมูลอยู่หลายโครงการทั้งของภาครัฐ และเอกชน ทำให้ในปีนี้มีโอกาสกลับมาเติบโตตามเป้าที่ 1,200-1,500 ล้านบาท โดยคาดหวังปีนี้พลิกกลับมามีกำไร
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1/67 มีรายได้รวม 263.89 ล้านบาท ลดลง 51.34 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีรายได้ 315.22 ล้านบาท ขณะที่มีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 49.23 ล้านบาท ลดลง 31.29 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งบริษัทมีขาดทุนสุทธิ 80.52 ล้านบาท โดยรายได้ในไตรมาส 1/67 ถือเป็นอัตราการเติบโตที่เป็นไปตามสภาพตลาดของธุรกิจอีเวนต์ ซึ่งหากนำไปเปรียบเทียบกับรายได้ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จะเห็นว่าลดลง เนื่องจากปีก่อนมีการรับรู้รายได้จากงานในกลุ่มบริษัทย่อยที่ลงทุนในธุรกิจด้านเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ประเภทจัดงานคอนเสิร์ต ซึ่งถือเป็นส่วนที่ทำให้บริษัทฯ ขาดทุน
อย่างไรก็ตามหากพิจารณาจริงๆแล้ว ยอดขาดทุนสุทธิในไตรมาส 1/67 มาจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว (One-Time Expenses) เป็นจำนวน 26.63 ล้านบาท โดยเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับใช้ดำเนินการเรื่องคดีความหรือข้อพิพาททางกฎหมายของบริษัท และบริษัทย่อย, ค่าทนายความ ตลอดจนเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจัดการตรวจสอบเป็นกรณีพิเศษ (Special Audit) แต่หากไม่รวมผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวนี้ บริษัทจะมีผลขาดทุนสุทธิ 22.22 ล้านบาท ถือว่าลดลงอย่างมากจากงวดเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเปรียบเทียบย้อนหลังไปในช่วงก่อนหน้านี้ ก็ถือว่ากลับเข้าสู่ภาวะปกติของบริษัทแล้ว
นอกจากนี้บริษัทยังได้รับงานประเภทพิพิธภัณฑ์ที่เป็นโครงการระยะยาว ซึ่งมีต้นทุนในการดำเนินงานแล้ว แต่อยู่ระหว่างทยอยรับรู้รายได้ภายในไตรมาส 2/67 ด้วยกลยุทธ์การปรับโครงสร้างการบริหารงานในส่วนต่างๆ ทำให้ปีนี้มีแนวโน้มเป็นปีแห่งการฟื้นตัวของ CMO
ส่วนกรณีที่บริษัทได้นำส่งงบการเงินระหว่างกาล สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค. 67 ของบริษัทและบริษัทย่อย ซึ่งผู้สอบบัญชีสอบทาน โดยไม่ให้ข้อสรุป ด้วยเหตุที่ได้พิจารณาถึงสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความไม่แน่นอนต่อความสามารถในการดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง (Going Concern) ของกลุ่มบริษัท ซึ่งไม่ได้มีสาเหตุจากการถูกจำกัดขอบเขตโดยผู้บริหาร อย่างไรก็ตามบริษัทมีแนวทางนโยบายมาตรการในการรักษาระดับของกระแสเงินสดสำหรับการจ่ายชำระหนี้สินและใช้ในการดำเนินงานไว้อยู่แล้ว ขอให้นักลงทุนและผู้ถือหุ้นเชื่อมั่นได้ว่าบริษัทมีศักยภาพในการดำเนินงาน และขับเคลื่อนบริษัทไปสู่เป้าหมายที่วางไว้