นายเจษฎา สุขทิศ CEO & Co-founder Finnomena Group เปิดเผยว่า สถิติในรอบ 40 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีโอกาสเกิด Sell in May แค่ 25% เท่านั้น หรือเฉลี่ยแล้ว 4 ปีจะเกิดสักครั้ง และสิ่งที่น่าสนใจคือหากเข้าลงทุน S&P 500 ในเดือนพฤษภาคม หลังจากนั้นโดยเฉลี่ยแล้ว 1 ปี จะสร้างผลตอบแทนประมาณ 10% แปลว่านี้เป็นโอกาสของการ Buy in May กลยุทธ์ที่สำคัญตอนนี้คือมองหาจังหวะสะสมหุ้นเข้าพอร์ต โดยเราแนะนำเพิ่มน้ำหนักหุ้นไปอยู่ที่แถว 80% ของพอร์ตเลย
"ขณะเดียวกันบรรยากาศการลงทุนต่าง ๆ ในภาพรวม เริ่มผ่อนคลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น และกำลังเข้าสู่ Risk-On Mode หรือภาวะที่ตลาดกลับเข้าสู่ขาขึ้นรอบใหม่ ซึ่งหนุนจากความเชื่อมั่นของนักลงทุน หลังการประชุม Fed ครั้งล่าสุดชี้ชัดว่าไม่มีแผนจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ ทำให้ตลาดคาดหวังถึงการลดดอกเบี้ยกลับมาอีกครั้ง"
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกสำคัญจากแรงกดดันเรื่องเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลง หลังราคาน้ำมันหยุดเทรนด์ขาขึ้น จากการที่สหรัฐอเมริกากลับมาผลิตน้ำมันได้เป็นจำนวนมาก และโอกาสที่จะลงมือคว่ำบาตรอิหร่านเกิดขึ้นยากแล้ว ในขณะที่กำไรบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ ยังคงดีต่อเนื่อง หลังการประกาศผลประกอบการในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 ส่วนใหญ่ออกมาเป็น Positive Surprise โดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่
ดังนั้น มุมมองของ FundTalk The Contrarian Style ที่เน้นกลยุทธ์สวนตลาด ด้วยการเฟ้นหาสินทรัพย์ที่ดี ราคาถูก ตอนที่คนไม่เหลียวแล จึงคาดว่าดัชนีหุ้นโลกที่นำโดยหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 จะวิ่งกลับมาทำ All-Time High ได้อีกครั้งในไตรมาส 2 นี้ คาดหุ้นโลกสไตล์เติบโต โดยเฉพาะธีม AI จะโดดเด่นที่สุด
นายเจษฎา กล่าวปิดท้ายว่า แนะนำ 2 กองทุนเด่นสุดเพื่อรับโอกาสตลาด Risk-On คือ กองทุน TISCOAI ซึ่งจะเข้าไปลงทุนในบริษัทที่เป็นเจ้าของสิทธิบัตรด้านเทคโนโลยี AI และ Big Data ในตลาด Nasdaq และกองทุน MEGA10-A ซึ่งเน้นลงทุนใน 10 บริษัทแบรนด์ระดับโลกที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ขนาดใหญ่ และมีสภาพคล่องสูง เพื่อรับโอกาสในจังหวะตลาดขาขึ้น ด้วยการลงทุนกับหุ้นผู้ชนะที่แท้จริง