นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทรีนีตี้ วัฒนา (TNITY) เปิดเผยถึงผลดำเนินงานของบริษัทงวดไตรมาส 1/67 ว่า บริษัทกลับมามีกำไรสุทธิ 15.86 ล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.07 บาท จากไตรมาสเดียวกันปี 66 ที่ขาดทุนสุทธิ 23.19 ล้านบาท
ทั้งนี้ งวดไตรมาสแรกของปี บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 157.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 63.52 จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 96.49 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากรายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการที่ขยายตัวมากขึ้นจากการที่ในไตรมาสนี้ บล.ทรีนีตี้ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นเกือบ 100% ได้เข้าไปเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและรับประกันการจำหน่ายหุ้นให้กับบริษัทที่นำธุรกิจเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยการเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ทำให้มีรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการจำนวน 25.57 ล้านบาท เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 44.63 จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้ 17.68 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีกำไรและผลตอบแทนจากเงินลงทุนรวม 18.90 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 64.74 ล้านบาท รวมถึงมีกำไรจากการขายเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี 9.69 ล้านบาท ที่เกิดขึ้นในไตรมาส 1/67ด้วย
นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า ในส่วนของธุรกิจหลักทรัพย์โดยเฉพาะรายได้จากนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ยังคงเป็นไปตามสภาพของตลาดรวมที่ยังคงผันผวน ได้รับแรงกดดันจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก ทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ส่งผลเสียต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยอย่างชัดเจน แม้เศรษฐกิจไทยจะมีโอกาสจากการท่องเที่ยวที่ปรับตัวดีขึ้น การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัว แต่การใช้จ่ายของภาครัฐกลับลดลงมาก การฟื้นตัวของภาคการส่งออกช้ากว่าที่คาดจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ส่งผลให้ตลาดมีความผันผวน
โดยในช่วงไตรมาส 1/67 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลดลงจาก 1,415.85 จุดเมื่อสิ้นปี 66 เป็น 1,377.94 จุดสิ้นเดือนมีนาคม และมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันลงมาอยู่ที่ 45,684 ล้านบาท ลดลงจากจากไตรมาสเดียวกันปี 2566 ที่ 66,684 ล้านบาท หรือลดลงในอัตราร้อยละ 31.49 ส่วนตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้ามีปริมาณการซื้อขายลดลงจากจากไตรมาส 1/66 ที่มีปริมาณซื้อขายสัญญาฯ ต่อวัน 594,550 สัญญาเป็น 432,727 สัญญาในไตรมาส 1/67 หรือลดลงในอัตราร้อยละ 27.22
ผลของการลดลงอย่างมากของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันทำให้รายได้จากนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของบริษัทลดลงตามด้วย โดยในไตรมาส 1/67 มีรายได้ 24.32 ล้านบาท ลดลงในอัตราร้อยละ 43.61 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 43.13 ล้านบาท ส่วนรายได้จากดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลงเหลือ 42.36 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 17.30 จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 51.22 ล้านบาท ซึ่งการลดลงดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เป็นผลจากการลดลงของเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ระหว่างงวด
นายวิศิษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงทิศทางในช่วงไตรมาส 2/67 ว่าน่ายังคงปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องโดยเฉพาะในส่วนของธุรกิจที่ปรึกษาเพราะยังมีดีลที่จะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อีก 6-8 ดีลใน 1-2 ปีข้างหน้า ขณะที่ในส่วนของตลาดหุ้นก็น่าจะดีขึ้นหลังจากเริ่มเห็นสัญญาณการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ แม้จะถูกยืดระยะเวลาออกไป ในขณะที่เศรษฐกิจในประเทศก็น่าจะดีขึ้นหลังงบประมาณปี 67 ถูกอัดฉีดเข้าระบบ เป็นต้น