นายศรชัย สุเนต์ตา, CFA รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน Investment Office and Product กลุ่มธุรกิจ Wealth ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ได้วิเคราะห์ผลที่จะเกิดขึ้นต่อตลาดหุ้นไทย ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีแนวคิดผลักดันให้นักลงทุนสามารถกลับมาใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (Long Term Equity Fund : LTF) ได้อีกครั้ง โดยเรามีมุมมองว่า ปัจจัยนี้เป็นปัจจัยบวกสนับสนุนดัชนีตลาดหุ้นไทย โดยช่วยลดเงินทุนไหลออก ลดแรงขายของนักลงทุนสถาบันในประเทศลงได้
จากการรวบรวมสถิติในอดีต พบว่าในช่วง 7 ปีสุดท้ายก่อนที่การใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการลงทุนใน LTF จะหมดลง มีเม็ดเงินไหลเข้ามาลงทุนใน LTF ประมาณ 5-7 หมื่นล้านบาท/ปี และหากคิดเป็นยอดเงินลงทุนสุทธิ โดยคำนวณจากเงินที่ไหลเข้ามาลงทุน หักเงินที่ไถ่ถอนหน่วยลงทุนออกไป ก็ยังสูงถึง 2-3 หมื่นล้านบาท/ปี แต่เมื่อการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสิ้นสุดลง ในปี 62 พบว่ามีเงินไหลออกจากกองทุน LTF ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท/ปี
ขณะที่ยอดเงินคงค้างที่อยู่ในกองทุน LTF โดยรวม ในปี 62 เคยอยู่ที่ประมาณ 4 แสนล้านบาท ก็ลดลงไปค่อนข้างมาก โดยเหลือเพียง 2.47 แสนล้านบาท ในเดือนเม.ย. 67 ฉะนั้นหากกองทุน LTF กลับมาใช้สิทธิประโยชน์ภาษีได้อีกครั้ง และเป็นไปตามที่กระทรวงการคลังคาดการณ์ ก็จะมีเม็ดเงินไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท/ปี ซึ่งคาดว่าเงินบางส่วนจะมาจากเงินที่เคยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นต่างประเทศ และเงินลงทุนใหม่
"หากเงื่อนไขการลงทุนใน LTF ที่จะนำกลับมาใหม่นี้ ไม่นำยอดเงินลงทุนเพื่อรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีไปรวมกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF), กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ,กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD), กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) และ ประกันชีวินแบบบำนาญ ที่กำหนดยอดเงินลงทุนรวมกันไว้ไม่เกิน 500,000 บาท โดยแยกเงินลงทุน LTF ออกมาอีกจำนวน 500,000 บาทเหมือนในอดีตที่ผ่านมา อีกทั้งกำหนดเงื่อนไขระยะเวลาการถือครองที่น่าสนใจ เช่น กำหนด 5 ปี เหมือนในอดีต คาดว่าจะทำให้มีเม็ดเงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท และน่าจะทำให้ตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคักได้อีกครั้ง" นายศรชัย กล่าว
นอกจากนี้กองทุน LTF จะช่วยลดความผันผวนของดัชนีตลาดหุ้นไทย จากการถูก short sell (การยืมหุ้นมาขายเพื่อทำกำไร เมื่อคาดว่าหุ้นนั้นจะปรับตัวลดลง) เนื่องจากเวลาที่หุ้นปรับตัวลดลง นักลงทุนก็จะมีแรงซื้อกองทุน LTF เข้ามาช่วยพยุงตลาดให้ปรับตัวดีขึ้นได้ อีกทั้ง LTF จะช่วยเพิ่มมูลค่าการซื้อขายในตลาดหุ้นไทย ทำให้สภาพคล่องการซื้อขายดีขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศได้มากขึ้นด้วย
สำหรับหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการกลับมาของกองทุน LTF นั้น มองว่าเป็นหุ้นขนาดใหญ่ใน SET100 (หุ้น 100 บริษัทที่มีมูลค่าสูงสุดในตลาด) เนื่องจากหุ้นเหล่านี้มีสภาพคล่องการซื้อขายสูง มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี สามารถถือลงทุนระยะยาวได้ อีกทั้งหุ้นหลายตัวใน SET100 เป็นหุ้นที่ให้เงินปันผลค่อนข้างดี และจากสถิติในอดีตพบว่า นักลงทุนสถาบันในประเทศ นิยมถือครองหุ้นขนาดใหญ่เป็นหลัก
SCB CIO มีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทย โดยมองว่านอกเหนือจากแนวโน้มการกลับมาของกองทุน LTF แล้ว ตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มได้ปัจจัยหนุนจาก 1. อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ที่ออกมาดีกว่าคาด ขณะที่เศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นได้ต่อในช่วงครึ่งปีหลัง 2. การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่จะเร่งตัวขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ จะเป็นแรงหนุนภาคการลงทุนในประเทศ 3. ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน มีแนวโน้มถูกปรับประมาณการกำไรขึ้นในปีนี้ ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และอุปสงค์จากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น หลังจากรัฐบาลจีนได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 4. ค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่จะกลับมาแข็งค่าในช่วงครึ่งหลังของปี หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับลดดอกเบี้ยลง และ 5. Valuation ดัชนีตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับที่ไม่แพง ณ ปัจจุบันซื้อขายด้วยราคาต่อกำไรต่อหุ้นในระยะ 12 เดือนข้างหน้า (Forward P/E) ที่ระดับ 14.6x ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลัง และเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่หลังเกิดวิกฤตโควิด-19
ด้วยเหตุนี้ SCB CIO จึงมีมุมมองว่าสามารถลงทุนกองทุนรวมหุ้นไทยเป็นส่วนหนึ่งในพอร์ตลงทุนหลักระยะยาว 1 ปีขึ้นไป (Core Portfolio) ได้ และยังสามารถลงทุนบนพอร์ตเสริมโอกาสระยะสั้น (Opportunistic Portfolio) ได้ในกรณีที่รับความเสี่ยงได้ปานกลางถึงสูง จากปัจจัยสนับสนุนที่เข้ามาในระยะใกล้ได้ โดยเราแนะนำให้ลงทุนผ่าน กองทุน SCBTHAICGA ซึ่งเป็นกองทุนทุนรวมหุ้นไทย ประเภทที่มีนโยบายการลงทุนเชิงรุก บริหารโดยผู้จัดการกองทุนชั้นนำ มีกลยุทธ์ในการเลือกหุ้นที่มี ธรรมาภิบาล (Governance) คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม (Environment) หรือสังคม (Social) เป็นสำคัญ โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นเพียง 30-50 บริษัท แต่ยังมีการกระจายความเสี่ยงพอร์ตการลงทุนโดยลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม