ผถห.ใหญ่ SFLEX ส่ง "พีเคเอ็น อินเตอร์โฮลดิ้ง" ยื่นไฟลิ่งขาย IPO 25.40 ล้านหุ้นเข้า mai ใช้ขยายลงทุน

ข่าวหุ้น-การเงิน Wednesday May 29, 2024 15:07 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.พีเคเอ็น อินเตอร์โฮลดิ้ง (PKN) ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 25,400,000 หุ้น คิดเป็น 25.30% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดหลัง IPO มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมี บริษัท ออพท์เอเชีย แคปิตอล จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน

บริษัทประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ สินค้าเพื่อการสะสม สินค้าลิมิเต็ด สินค้าพรีเมี่ยม และสินค้าลิขสิทธิ์ วัตถุประสงค์การใช้เงินจากการระดมทุน เพื่อเป็นเงินลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและมีศักยภาพในอนาคต เช่น การเข้าซื้อกิจการ และเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ

PKN ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2559 โดยนายปรินทร์ธรณ์ อภิธนาศรีวงศ์ และนางสาวเกตุญาณินท์ จีรพัฒน์ชนากร ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคและบริโภค และสิ่งพิมพ์ ทั้งในด้านการวิจัยพัฒนาและออกแบบ ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ประเภท Flexible Packaging และกระดาษ และมีพันธมิตรทางธุรกิจกับลูกค้าที่เป็นองค์กรชั้นนำของประเทศไทยและกลุ่มประเทศ CLMV ในหลายอุตสาหกรรม

โดยนายปรินทร์ธรณ์ มีประสบการณ์ในธุรกิจบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคและบริโภคมานานกว่า 36 ปี ในฐานะผู้ถือหุ้นหลัก และผู้บริหารของ บมจ.สตาร์เฟลกซ์ (SFLEX) และ บมจ.สตาร์ปริ๊นท์ (SPRINT) และนางสาวเกตุญาณินท์มีประสบการณ์ในการทำงานด้านกลุ่มธุรกิจ (B2B) เพื่อใช้ในการส่งเสริมการขายหรือจัดจำหน่ายของสินค้าหรือบริการหลักของลูกค้ากลุ่มธุรกิจ รวมถึงผลิตและจำหน่ายสินค้าภายใต้ตราสินค้าของบริษัทให้กับผู้บริโภค (B2C) โดยเฉพาะด้านการตลาดและโลจิสติกส์บรรจุภัณฑ์และสิ่งพิมพ์ในธุรกิจสินค้าอุปโภค บริโภคมากว่า 20 ปี

จากประสบการณ์การทำงาน และความสัมพันธ์ทางธุรกิจกับลูกค้าที่เป็นองค์กรชั้นนำ ทำให้เล็งเห็นถึงโอกาสเติบโตของบรรจุภัณฑ์แบบพรีเมียม (Premium Packaging) โดยการนำสินทรัพย์ทางปัญญาประเภทตัวละครลิขสิทธิ์ (Character) อนิเมะจากญี่ปุ่น หรือ แอนิเมชั่นจากสหรัฐอเมริกาที่ได้รับความนิยมในผู้บริโภคมาสร้างมูลค่าเพิ่มและเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดให้กับธุรกิจเพื่อเพิ่มยอดขายและความรับรู้ของแบรนด์ รวมถึงการขยายธุรกิจสินค้าสะสมที่มีดีไซน์และนวัตกรรมแนวคิดใหม่ตอบโจทย์หลากหลายสไตล์ของนักสะสม

ปัจจุบัน บริษัททำสินค้าลิขสิทธิ์มานานกว่า 6 ปี ทั้งสำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจที่นำไปจัดจำหน่ายต่อหรือเป็นสินค้าส่งเสริมการขายและสำหรับลูกค้าผู้บริโภคภายใต้เครื่องหมายการค้า IGNITE ที่พัฒนาและจำหน่ายภายใต้บริษัทเอง

ที่ผ่านมาบริษัทได้รับลิขสิทธิ์ทั้งจากตัวการ์ตูน คาแรคเตอร์จากภาพยนตร์หรือแอนิเมชั่นที่เป็นที่นิยมมากกว่า 100 คาแรคเตอร์ จากผู้ให้ลิขสิทธิ์ชั้นนำจากทั้งฝั่งสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ตัวอย่างเช่น (1) Universal Studio Licensing เจ้าของลิขสิทธิ์คาแรคเตอร์ Minion และ Felix the cat และลิขสิทธิ์จากภาพยนตร์เรื่อง Fast and Furious และ Puss in Boots 2 เป็นต้น (2) Dream Express ตัวแทนในการดูแลลิขสิทธิ์ของคาแรคเตอร์จากแอนิเมชั่นชื่อดังจากประเทศญี่ปุ่นอย่าง Gundam, One Piece, Demon Slayer Kimetsu No Yaiba, Ultraman, Masked Rider และ Detective Conan เป็นต้น และ (3) The Walt Disney เจ้าของลิขสิทธิ์คาแรคเตอร์จากภาพยนตร์ Avengers, Spider-Man และ Marvel เป็นต้น รวมถึงมีคาแรคเตอร์จากศิลปิน (Creator) ชาวไทย

บริษัทมีเป้าหมายที่จะมีรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาทภายในปี 68 และมีเป้าหมายระยะยาวที่จะเป็นผู้นำด้านสินค้าลิขสิทธิ์สำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจและผู้บริโภคในอาเซียน โดยมีสัดส่วนรายได้จากการขายสินค้าลิขสิทธิ์ให้กับลูกค้ากลุ่มธุรกิจเดิมและขยายตัวไปยังลูกค้าที่มีศักยภาพใหม่ในประเทศไทยประมาณ 50% และมีสัดส่วนรายได้สินค้าลิขสิทธิ์จากการขยายไปยังลูกค้าธุรกิจต่างประเทศ 10% และมีสัดส่วนรายได้จากการขายสินค้าภายใต้แบรนด์ IGNITE ผ่านช่องทางการขายแบบออฟไลน์ (ร้านค้าตัวแทนและเปิดสาขาของบริษัท) 10% และช่องทางออนไลน์ 10% และอีก 20% จะเป็นรายได้จากการขยายธุรกิจโดยการซื้อกิจการหรือร่วมทุน (M&A) ในบริษัทที่มีศักยภาพและสามารถต่อยอดธุรกิจสินค้าลิขสิทธิ์ได้อย่างมั่นคงหรือลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์และความบันเทิง (Entertainment) เพื่อให้เกิด Synergy ใหม่ๆ

โครงสร้างผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 29 มี.ค.67 มีนายปรินทร์ธรณ์ อภิธนาศรีวงศ์ และครอบครัวถือหุ้นใหญ่ 38,850,000 หุ้น คิดเป็น 66.00% หลัง IPO ส่วนนางสาวเกตุญาณินท์ จีรพัฒน์ชนากร รวมกับกลุ่มกรรมการ ผู้บริหาร และครอบครัว ถือหุ้น 7,875,000 หุ้น คิดเป็น 10.50% ขณะที่กลุ่มนักลงทุน 17 รายถือหุ้น 17,625,000 หุ้น คิดเป็น 23.50%

ผลประกอบการช่งปี 64-66 เท่ากับ 141.22 ล้านบาท 238.07 ล้านบาท และ 252.06 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ไตรมาส 1/67 มีรายได้ 55.84 ล้านบาท จากไตรมาส 1/66 มีรายได้ 60.85 ล้านบาท รายได้ของบริษัทมาจาก 3 กลุ่มหลัก 1) รายได้จากสินค้าลิขสิทธิ์จากลูกค้ากลุ่มธุรกิจ (B2B) 2) รายได้จากสินค้าลิขสิทธิ์จากลูกค้ารายย่อย (B2C) และ 3) รายได้จากสินค้าและบริการอื่น

ขณะที่ปี 64 มีผลขาดทุนสุทธิ 5.74 ล้านบาท ต่อมาในปี 65 มีกำไรสุทธิ 0.19 ล้านบาท และปี 66 มีกำไรสุทธิ 13.65 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 1/67 มีกำไรสุทธิ 1.28 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีนโยบายที่จะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการ ภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และภายหลังการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย และข้อบังคับของบริษัทฯ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ