นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดดัชนีแกว่งตัวออกด้านข้าง อีกทั้งมองว่าดาวน์ไซด์ในระยะสั้นน่าจะจำกัด โดยเมื่อคืนนี้มีการเปิดเผยตัวเลขประมาณการ GDP ไตรมาส 1/67 ครั้งที่ 2 ของสหรัฐ ขยายตัว 1.3% QoQ ตามที่ตลาดคาด ชะลอลงจากการรายงานครั้งที่ 1 ที่ระดับ 1.6% นักลงทุนคลายความกังวลลงเล็กน้อยประเด็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ช้ากว่าคาด ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (บอนด์ยีลด์) อายุ 10 ปีปรับลงมาและค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า
ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐแม้จะปรับลง แต่มาจากการที่ราคาหุ้นเซลส์ฟอร์ซ (Salesforce) ปรับลดลงค่อนข้างแรง ซึ่งหากลบผลกระทบตรงนี้ไปดัชนีดาวโจนส์เป็นภาพกลับมาบวกอ่อน ๆ
ส่วนในประเทศ เมื่อวานนี้มีการรายงานตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production) เดือนเม.ย. ขยายตัวครั้งแรกในรอบ 19 เดือน น่าจะเป็นสัญญาณที่ดีกับเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป และน่าจะสะท้อนว่า GDP ไทยในไตรมาส 1/67 น่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่อคืนนี้ราคาน้ำมัน BRENT ปรับตัวลงแรง 2.08% หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขสต๊อกน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้นมากกว่าตลาดคาด น่าจะเป็นปัจจัยที่กดดันกลุ่มพลังงาน รวมทั้งในวันนี้ต้องระมัดระวัง MSCI Rebalance ซึ่งจะมีหุ้นออกเป็นส่วนใหญ่ อาจจะเห็นความผันผวนของหุ้นรายตัว อีกทั้งตลาดหุ้นไทยจะเข้าสู่ช่วงหยุดยาว 3 วันซึ่งจะมีปัจจัยที่ต้องติดตาม อาทิ การรายงานตัวเลข PCE ของสหรัฐและการประชุมโอเปกพลัส ทำให้ภาพของตลาดอาจจะแกว่งออกข้าง
ทั้งนี้มองว่าถ้าดัชนีลงที่ระดับแนวรับ 1,350 จุด เป็นจุดรับสำหรับนักลงทุนระยะกลางถึงยาวเพราะว่า Valuation ปัจจุบันอยู่ที่ 13-14 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปี เป็นจุดที่น่าทยอยสะสม
โดยให้กรอบแนวรับ 1,340 จุดและแนวต้าน 1,360 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (30 พ.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 38,111.48 จุด ลดลง 330.06 จุด หรือ -0.86%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,235.48 จุด ลดลง 31.47 จุด หรือ -0.60% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 16,737.08 จุด ลดลง 183.50 จุด หรือ -1.08%
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตเปิดตลาดที่ระดับ 3,094.76 จุด เพิ่มขึ้น 3.08 จุด หรือ +0.10% ขณะที่ดัชนีฮั่งเส็งเปิดตลาดที่ระดับ 18,409.62 จุด เพิ่มขึ้น 179.43 จุด หรือ +0.98% ส่วนดัชนีนิกเกอิเปิดตลาดที่ระดับ 38,173.22 จุด เพิ่มขึ้น 119.09 จุด หรือ +0.31%
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (30 พ.ค.) 1,351.52 จุด เพิ่มขึ้น 1.69 จุด (+0.13%) มูลค่าซื้อขาย 43,799.77 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,366.48 ล้านบาท (30 พ.ค.)
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. ลดลง 1.32 ดอลลาร์ หรือ 1.67% ปิดที่ 77.91 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (30 พ.ค.) อยู่ที่ 0.90 เหรียญ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 36.67 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าเล็กน้อย ให้กรอบ 36.55-36.85 จับตาดัชนี PCE สหรัฐ
- เอกชนไทย-ต่างชาติ ส่งสัญญาณลงทุน "แลนด์บริดจ์" พบบิ๊กคอร์ปไทย กลุ่มอมตะ WHA สยามพิวรรธน์ ร่วมเวทีรับฟังความเห็นออกแบบโมเดลการลงทุน ขณะที่กลุ่มจีน ญี่ปุ่น ดูไบ สำรวจพื้นที่จริง "คมนาคม" เร่งเข็น พ.ร.บ.SEC เข้าสภา ภายในปีนี้ หวังเปิดประมูลปี 68 ดันลงทุน 1 ล้านล้านบาท
- กบง.ตรึงเงินชดเชยกองทุนน้ำมันฯ ส่งผลราคาดีเซลขยับขึ้น 50 สตางค์ ต่อลิตร มีผลตั้งแต่วันนี้ (31 พ.ค.) ส่งผลให้ราคาดีเซลขยับขึ้น 32.94 บาท/ลิตร เกือบเต็มเพดาน ที่ไม่เกิน 33 บาท
- เลขาฯบีโอไอชี้ไทยจุดหมายกลุ่มทักษะพิเศษ-ศักยภาพสูง ลุยอนุมัติวีซ่าและใบอนุญาตทำงานผ่านวันสต๊อปเซอร์วิสกว่า 56,000 คน ประเมิน 2 ปัจจัยเร่ง ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์-เคลื่อนย้ายฐานผลิตทั่วโลก
หุ้นเด่นวันนี้
- DELTA (กสิกรไทย) แนะนำซื้อ ราคาพื้นฐาน 79 บาท คาด DELTA ได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่าที่ระดับ 36.7 บาทต่อดอลลาร์ รวมถึงการกลับมาของธุรกิจเซมิคอนดักเตอร์ บริษัทตั้งเป้าหมายการเดิบโตของรายได้และยอดขายไว้แบบตัวเลข 2 หลัก(Double Digits) จากปี 2566 โดยในไตรมาส 2/67 มองว่าภาพรวมธุรกิจและอุตสาหกรรมยังคงอยู่ในทิศทางที่ดี และเชื่อว่าจะดียิ่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้ ลูกค้ายังคงมีการส่งคำสั่งซื้อใหม่ๆ เข้ามาให้บริษัทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่สั่งล่วงหน้าถึง 6 เดือน ทำให้มีแบ็กล็อกในมือที่ค่อนข้างหนาแล้วในตอนนี้
- TIDLOR (ฟินันเซียฯ) แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 27 บาท ระยะสั้นคาดได้ Sentiment บวกจาก Bond Yield สหรัฐฯที่อ่อนตัวลง ด้านผลการดำเนินงาน เราคาดกำไรปี 67 จะยังเห็นการเติบโตที่แข็งแกร่ง Y-Y หนุนจากสินเชื่อที่เติบโต ขณะที่แนวโน้มการตั้งสำรองผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในช่วงไตรมาส 4/66 เรายังคงคาดการณ์กำไรปกติปี 67-69 เติบโต 19.5% CAGR และสินเชื่อเติบโต 15% ต่อ ปัจจุบันเทรด PER ไม่แพงเพียง 12.5 เท่า ยังคงมองการปรับโครงสร้างเป็น Holding Company จะเป็นบวกระยะยาว และมีลุ้นเข้า SET50 ในรอบ 2H67
- HMPRO (พาย) ซื้อ ราคาเป้าหมาย 13.90 บาท ทิศทาง SSSG เริ่มดูดีขึ้นในเดือน พ.ค. จากสภาพอากาศที่ร้อนกว่าปีที่แล้ว เห็นได้จากคิวรอติดตั้งเครื่องปรับอากาศที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว นอกจากนี้ยังมีการทำกิจกรรมทางการตลาดที่มากขึ้น หลังปรับลดการจัด HomePro Expo ที่เมืองทองมาจัด HomePro Super Expo ตามสาขาในทุกไตรมาส