บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) ประเมินยอดขายที่ดินใหม่ของกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากเฉลี่ย 1,744 ไร่/ปีในช่วงก่อนโควิด-19 เป็น 4,075 ไร่ ในปี 67-68 และ 3,825 ไร่ ในปี 69 ชูหุ้นหลักกลุ่มนิคมอุสาหกรรมโดดเด่น ทั้ง AMATA และ WHA รับอานิสงส์ความตึงเครียดนระหว่างสหรัฐและจีนทำให้แห่ย้ายฐานการผลิตออกนอกจีนกระจายไปยังประเทศพันธมิตรอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และพลังงานทดแทน หนุนความต้องการซื้อที่ดินนิคมอุตสาหกรรมในช่วงปี 67-69
ปี 67 คาดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ของไทยจะสูงกว่า 6.39 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 127% จาก 2.82 แสนล้านบาทในปี 62 ได้รับประโยชน์จากการย้ายห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ยอดขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมสูงขึ้นตามไปด้วย จึงปรับประมาณการยอดขายที่ดินใหม่ในปี 67-69 ขึ้น 3.8-14% สะท้อนการเพิ่มขึ้นของเม็ดเงิน FDI และคาดจากการขายที่ดินของกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมจะเติบโตเฉลี่ย 20.6% ในช่วงปี 67-69
โดย WHA จะได้รับประโยชน์จากการที่มีอัพไซด์ 3.9-15.8% จากการขายที่ดิน 400 ไร่ ให้กับผู้ประกอบการดาต้าเซ็นเตอร์ ระดับโลก ขณะที่ AMATA จะมีอัพไซด์ 3.6-10.8% จากการขายที่ดิน 300 ไร่ ให้กับผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ ทั้ง AMATA และ WHA ยังมีการขยายธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภคในเวียดนาม คาดว่ายอดขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมในเวียดนามของทั้งสองบริษัทในปี 67-69 จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,000-1,125 ไร่ หรือคิดเป็น 24.5-29.4% ของยอดขายรวม ซึ่งจะเข้ามาช่วยเสริมยอดขายที่ดินในประเทศ
ยังแนะนำ Overweight หุ้กนลุ่มนิคมอุตสาหกรรม เพราะกำไรปกติต่อหุ้นคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 14.7% ในช่วงปี 67-69 โดยปรับเพิ่มประมาณการกำไรของ AMATA ในช่วงปี 67-69 ขึ้นเฉลี่ย 1.1-2% และ WHA เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.8-3.2% สะท้อนแนวโน้มของธุรกิจที่ดีขึ้น และการที่เม็ดเงิน FDI เข้ามาเพิ่มขึ้น โดยเลือก AMATA เป็นหุ้น Top pick ในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ราคาเป้าหมาย 30.75 บาท/หุ้น ส่วน WHA ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 6.50 บาท/หุ้น