สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า บมจ.สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย)ได้ยื่นข้อมูล Filing อีกครั้งให้สำนักงานก.ล.ต.พิจารณา และได้มีการนับ 1 ข้อมูล Filing ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2551 โดยต้องการที่จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนทั่วไป(IPO) และจะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีบล.ทิสโก้เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำไปใช้ซื้อเครื่องจักร เพื่อขยายกำลังการผลิตและรองรับโครงการในอนาคต รวมทั้งจะนำไปใช้ในการปรับโครงสร้างทางการเงิน
ก่อนหน้านี้ ข้อมูลไฟลิ่งของบมจ.สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) ได้นับ 1 เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2547 โดยจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 23.70 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 5 บาท แต่ได้ถอนออกไป ก่อนจะยื่นไฟลิ่งมาอีกครั้ง
บมจ. สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) ประกอบธุรกิจรับจ้างผลิตและประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ให้กับเจ้าของผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งรับจ้างผลิตอุปกรณ์และออกแบบผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยบริษัทรับจ้างผลิตและประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพื่อส่งให้กับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับกลุ่มคอมพิวเตอร์ กลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มเครื่องบันเทิง กลุ่มอุปกรณ์รถยนต์ กลุ่มอุปกรณ์สื่อสาร และกลุ่มความปลอดภัย เป็นต้น
ในปี 50 บริษัทฯมีรายได้รวม 11,652.96 ล้านบาท กำไรสุทธิ 197.67 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้จากการขาย Micro electronics Module Assembly คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 96 ของรายได้รวม และรายได้จากการให้บริการประกอบและทดสอบแผงวงจรไฟฟ้ารวม(IC Packaging)คิดเป็นร้อยละ 3 ของรายได้รวม
บริษัทฯมีเป้าหมายในอนาคตที่จะเน้นหนักในส่วนธุรกิจการให้บริการประกอบและทดสอบแผงวงจรไฟฟ้ารวมมากขึ้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2550 บริษัทฯมีสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 3,460.39 ล้านบาท หนี้สินรวม 2,619.04 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นรวม 841.35 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน อยู่ที่ระดับ 3.11 เท่า
ณ วันที่ 24 เมษายน 2551 บริษัทฯมีทุนจดทะเบียน 736 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 368 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 2 บาท และมีทุนที่ออกและชำระแล้ว 552 ล้านบาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญจำนวน 276 ล้านหุ้น ภายหลังขาย IPO ครั้งนี้จะมีทุนชำระแล้วไม่เกิน 736 ล้านบาท
ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯคือ กลุ่มไชยกุล ถือหุ้น 96.05 ล้านหุ้นหรือคิดเป็น 34.80% หลังขาย IPO จะถูกลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 26.10% รองลงมาเป็น Winkey Holding Limited ถือหุ้น 31.35 ล้านหุ้นหรือคิดเป็น 11.36% หลังขาย IPO จะถูกลดสัดส่วนการถือหุ้นลงเหลือ 8.52
บริษัทฯมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราประมาณร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังจากหักภาษีและสำรองตามกฎหมาย
--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--