(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้าแกว่งไซด์เวย์ลุ้นตัวเลขศก.จีน-เกาะติดคดีการเมืองไทยพรุ่งนี้

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday June 17, 2024 09:48 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งตัวไซด์เวย์ รอติดตามปัจจัยการเมืองในประเทศวันพรุ่งนี้ (18 มิ.ย.) ทำให้นักลงทุนยังรอดูปัจจัยการเมืองในประเทศว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ขณะที่ยังไม่มีปัจจัยใหม่อื่น ๆ เข้ามาส่งผลต่อทิศทางของตลาด

โดยต้องติดตามการพิจารณาคดีทางการเมืองใน 18 มิ.ย. ได้แก่ การยุบพรรคก้าวไกล, วินิจฉัยคุณสมบัตินายกเศรษฐา ทวีสิน, คำตัดสินว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ใน 4 มาตรา ว่าจะขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ และคดี ม.112 ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ขณะเดียวกัน วันนี้จะมีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของจีนหลายตัว ซึ่งอาจจะส่งผลต่อ sentiment ของตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ขณะที่เช้าวันนี้ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่เปิดมาปรับตัวลง

โดยให้แนวต้าน 1,320 จุด แนวรับ 1,300 จุด

*ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (14 มิ.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 38,589.16 จุด ลดลง 57.94 จุด หรือ -0.15%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,431.60 จุด ลดลง 2.14 จุด หรือ -0.04% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 17,688.88 จุด เพิ่มขึ้น 21.32 จุด หรือ +0.12%
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวเปิดที่ระดับ 38,440.98 จุด ลดลง 373.58 จุด หรือ -0.96%, ดัชนีฮั่งเส็งเปิดที่ระดับ 17,848.87 จุด ลดลง 92.91 จุด หรือ -0.52% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ระดับ 3,017.72 จุด ลดลง 14.91 จุด หรือ -0.49%
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (14 มิ.ย.) 1,306.56 จุด ลดลง 5.22 จุด (-0.40%) มูลค่าซื้อขายราว 38,680.28 ล้านบาท
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 724.59 ล้านบาท (14 มิ.ย.)
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค. (14 มิ.ย.)ลดลง 17 เซนต์ หรือ 0.22% ปิดที่ 78.45 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (14 มิ.ย.) อยู่ที่ 3.56 เหรียญ/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 36.67 จับตาปัจจัยการเมืองไทย เสี่ยงทำตลาดเงินผันผวน
  • บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยแบกหนี้สินรวม 35.57 ล้านล้าน "บล.หยวนต้า" เผยหนี้สินต่อทุน 2.6 เท่า เจอภาระจ่ายดอกเบี้ยสูงลากยาวถึงสิ้นปี แบงก์กรุงไทยเผยกลุ่ม SET100 ความสามารถชำระหนี้ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด ธุรกิจยังแฮ้ง ผวา! บจ.ขนาดใหญ่ถูกลดเครดิตเรตติ้งมากขึ้น
  • บอร์ดตลาดหลักทรัพย์ฯ มีมติเอกฉันท์เคาะเลือก "อัสสเดช คงสิริ" ดำรงตำแหน่ง "กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ" คนที่ 14 มีผลตั้งแต่ 19 ก.ย. 2567 เผยมีประสบการณ์ตลาดเงินตลาดทุนกว่า 30 ปี ด้าน "พรอนงค์" เลขาธิการ ก.ล.ต. พร้อมปรับเกณฑ์เพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) มีต้นทุนต่ำลง แต่อีกด้านยอมรับว่าเป็นห่วง และหนุนให้ควบรวมกิจการเพื่อสร้างความเข้มแข็งมากขึ้น
  • ผอ.สำนักงบฯ กางแผนเร่งเบิกจ่าย หลังงบลงทุนปี 67 เบิกจ่ายต่ำเป้า เปิดช่องปรับแผนการเบิกจ่ายและเร่งรัดหน่วยงาน เพื่อผลักดันเม็ดเงินสู่ระบบเศรษฐกิจ วิเคราะห์งบสวัสดิการปี 68 สูงถึง 7.49 แสนล้าน เสนอทบทวน VAT เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้รองรับนโยบายสวัสดิการ
  • "พลังงาน" ชี้ "ภูมิรัฐศาสตร์ค่าเงินบาท" ตัวแปรสำคัญต่อราคาพลังงานโลก "ปลัดพลังงาน" ยอมรับราคาพลังงานครึ่งปีหลังเดายากเหมือนการเดาหวย ขณะที่ซีอีโอ "ปตท." ระบุ คุมต้นทุนรับมือทุกวิกฤติราคา
  • กระทรวงการคลังเตรียมหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เพื่อหาแนวทางช่วยเหลือลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียในช่วงเกิดโควิดหรือลูกหนี้รหัส 21 ให้สามารถหลุดพ้นจากบัญชีดำได้เร็วขึ้น และสามารถกลับเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้อีกครั้ง โดยเฉพาะในกลุ่มเอสเอ็มอีที่ปัจจุบันมีประมาณ 4 ล้านบัญชี ซึ่งตามเงื่อนไขของเครดิตบูโรลูกหนี้เหล่านี้จะทยอยหลุดจากบัญชีเครดิตบูโรภายในปีหน้า แต่รัฐบาลอยากร่นเวลาให้เร็วขึ้น เพื่อให้ลูกหนี้เข้าสู่สินเชื่อได้รวดเร็วขึ้น
  • บอร์ดบีโอไอ ไฟเขียวมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ หนุนผู้ผลิตเพิ่มประสิทธิภาพและเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมใหม่ เปิดส่งเสริมกิจการจัดการแบตเตอรีครบวงจร ดันไทยฮับ EV พร้อมอนุมัติโครงการลงทุน 8 โครงการ มูลค่า 5.7 หมื่นล้านบาท

*หุ้นเด่นวันนี้

  • KLINIQ (ซีจีเอสอินเตอร์ฯ)"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 58 บาท บริษัทมีแผนขยายสาขาในประเทศไทย 100-120 แห่งภายในสิ้นปี 2570 เพิ่มขึ้นจาก 65 แห่ง ณ สิ้นไตรมาส 1/67 ด้วยการย้ายเข้าสู่ตลาด Mass และ การเสนอบริการเพิ่มขึ้น เราคาดว่าจะ
มี EPS CAGR ที่ 20% ในช่วงปี 2566-2569 เรามองว่า KLINIQ เป็นหุ้นที่น่าสนใจและมี ศักยภาพเติบโตสูง ราคาเป้าหมาย 58 บาท เท่ากับ P/E 29.4x ในปี FY25 หรือเท่ากับค่าเฉลี่ยของกลุ่ม
  • TU (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 17.30 บาท ยังเชื่อกำไรไตรมาส 1/67 ที่ผ่านมาแล้วจะเป็นจุดต่ำสุดของปีและจะทยอยเร่งตัวขึ้นในไตรมาส 2/67 เป็นต้นไป หนุนจากปัจจัยฤดูกาล ต้นทุนทูน่าที่ลดลง และการฟื้นตัวของกลุ่มสินค้า Frozen
นอกจากนี้การฟื้นตัวของผลการดำเนินงานของ ITC และขาดทุนจาก Red Lobster ที่หายไปจะเป็นอีกปัจจัยหนุนการเติบโต เรายังคาดกำไรปกติปี 2567 ที่ 5 พันลบ. +6.5% ราคาหุ้นปัจจุบันเทรด PER 14.4 เท่า ซึ่งยังไม่แพง
  • NEO (คิงส์ฟอร์ด) "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย IAA Consensus 63.00 บาท แนวโน้มไตรมาส 2/67 ปัจจัยหนุนท่องเที่ยวโตและกำลังซื้อผู้บริโภคกลุ่มรายได้ระดับกลาง-บนยังดี และจากฤดูร้อนย่างสู่ฤดูฝน ผู้บริโภคต้องการผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและดูแลสุขภาพ คาดอัตรากำไรขั้นต้นดีต่อเนื่องจากไตรมาส 1/67 ที่ 46% จากการออกสินค้ากลุ่ม Premium/Premium Mass มาร์จิ้นสูง และรักษาสัดส่วนกลุ่ม Personal Care และ Baby & Kids ที่มาร์จิ้นสูงกว่ากลุ่ม Household วางเป้ารายได้ปี 67 โต Double Digit จากออกผลิตภัณฑ์ใหม่ 50-100 SKU ตลาดคาดกำไรปี 67-68 ที่ 1.05 พันล้านบาท +27%YoY และ 1.13 พันล้านบาท +8%YoY

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ