ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวในงานสัมนา "หุ้นไทย 2024 with the Dragon Fire Discover new opportunities" ว่า ด้วยสภาะวะตลาดในปัจจุบันที่มีความเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 67 มีโอกาสเติบโตได้ 3% แต่ยังถือว่าต่ำกว่าภูมิภาค เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากปัญหาโครงสร้างในประเทศ อาทิ ประเด็นการเมือง เศรษฐกิจ และหนี้ครัวเรือน ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องค่อย ๆ แก้ไขต่อไป
อย่างไรก็ตาม ความผันผวนต่าง ๆ ในตลาดทุน มองเป็นทั้งโอกาสและความเสี่ยง เพราะตลาดทุนไทยยังมีจุดแข็ง โดยเฉพาะกลุ่มที่แข็งแกร่งอย่าง Hospitality และ Tourism ซึ่งบริษัทจดทะเบียนไทยเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Well-Being ในระดับโลกพร้อมรองรับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
นอกจากนั้น ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายภาครัฐ ซึ่งจะกลับมาเร่งตัวในช่วงที่เหลือของปีนี้ตามการเบิกจ่ายงบประมาณ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นอุปสงค์ภายในประเทศ และ กลุ่มธุรกิจเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายฐานการผลิต โดยมีบริษัทจดทะเบียนที่ได้ประโยชน์จากการที่บริษัทต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทย โดยหากดูตัวเลขส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในไตรมาสที่ผ่านมา พบว่ามีโครงการที่ได้รับการส่งเสริมเพิ่มขึ้นถึง 415 คาดว่าจะมีเงินลงทุนเกือบ 2 แสนล้านบาท ซึ่งโดยเฉลี่ยแต่ละโครงการจะเริ่มการลงทุนประมาณ 2-3 ปีจากนี้
ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก ซึ่งบริษัทจดทะเบียนในไทยได้ขยายธุรกิจไปยังภูมภาคต่าง ๆ และมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามมีความเสี่ยงในบางสถานการณ์ที่ต้องติดตาม อาทิประเด็นความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน บริษัทจดทะเบียนไทยเติบโตอย่างเข้มแข็งและเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล กลุ่มธุรกิจที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ซึ่งการลงทุนในหุ้นประเภทนี้มีสภาพคล่องสูง เป็นทางเลือกหนึ่งที่พิจารณา นอกจากการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 3 ปีติดกันแล้วต้องเป็นกิจการที่มีการเติบโตในอนาคต
ธุรกิจ New Economy ก็เป็นโอกาสในการลงทุนตลาดทุนไทย ซึ่งบริษัทจดทเบียนในตลาดหุ้นไทยมีประมาณ 20% ที่มีการประกอบธุรกิจ New Economy อาทิ ธุรกิจ Digital and e-Commerce , Medical for future ,Biofuels และ Biochemical เป็นต้น
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ กล่าวว่า หน้าที่ของ ตลท. คือการสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทย โดยที่ผ่านมาช่วงปี 66 จนถึงปัจจุบัน ตลท.ได้ออกมาตรการในการกำกับดูแลไปแล้วหลายเรื่อง อาทิ การปรับเกณฑ์ของบริษัทจดทะเบียน ออกคำเตือนบริษัทที่มีปัญหา โดยเฉพาะด้านฐานะการเงิน รวมทั้งยกระดับมาตรการควบคุม Short Sell นอกจากนี้ ยังเตรียมประกาศใช้มาตรการอื่น ๆ อีก เช่น มาตรการ upstick Rule ที่จะใช้ 1 ก.ค. นี้ การทบทวนหลักทรัพย์ที่ทำ Short Sell ได้ หรือการเปิดเผยข้อมูลคำสั่งที่ไม่เหมาะสม
นอกจากนี้ ตลท.ได้ร่วมมือกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในการบังคับใช้กฎหมายที่เข้มแข็ง มีบทลงโทษที่เข้มงวด บังคับใช้กฎหมายอย่างรวดเร็วผ่านความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และนำเอาเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ตรวจสอบวิเคราะห์การซื้อขายหุ้นที่ผิดปกติ โดย ตลท.จะสื่อสารข้อมูลดังกล่าวให้กับ ก.ล.ต.อย่างรวดเร็ว
"ฝากถึงนักลงทุนที่จะฝ่าปีมังกร ขอให้โชคดี สุดท้ายอย่าไปเชื่ออะไรในสื่อที่ไม่มีข้อมูลต่าง ๆ ต้องชัวร์ก่อนแชร์ ถ้าเราลงทุนด้วยข้อมูลที่ถูกต้อง จากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ซึ่งตลาดพยายามทำสิ่งนี้ให้ดีที่สุด และตัดสินใจด้วยข้อมูลท่านก็จะฝ่าไฟมังกรได้"