น.ส.จรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยืนยันการเลื่อนแผนเพิ่มทุน ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) มูลค่าไม่เกิน 4.3 พันล้านบาท ไปปี 68 ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายรายได้, แผนลงทุน และกระแสเงินสด ในปีนี้และปีหน้า
สำหรับเหตุผลที่ผู้ถือหน่วย WHART ไม่อนุมัติการเพิ่มทุนนั้น เนื่องจากผู้ถือหน่วยค่อนข้างมีความกังวลต่อภาวะตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันที่ไม่ค่อยดีนัก ส่งผลให้ราคาหุ้นทั้งของ WHA และราคาหน่วย WHART ปรับตัวลง จึงไม่อยากให้เพิ่มทุน
อย่างไรก็ตามบริษัทฯ เตรียมเดินหน้าให้ข้อมูลผู้ถือหน่วย WHART อีกครั้ง เพื่อสร้างความมั่นใจว่า สินทรัพย์ที่จะขายเข้ากอง WHART ในครั้งนี้มีความมั่นคงมาก
"หลังจากที่ผู้ถือหน่วย WHART โหวตไม่ซื้อสินทรัพย์ เราก็จะเดินหน้าให้ข้อมูลใหม่อีกครั้ง เพื่อสร้างความมั่นใจ แต่โอกาสในการเพิ่มทุนดังกล่าวในปีนี้ มองเป็นไปได้ยากแล้ว เพราะกระบวนการจะไม่มีการเปิดประชุมให้ทบทวนการลงมติใหม่แล้ว ส่วนการเพิ่มทุนในปีหน้า หากไม่สำเร็จ เราก็จะไปใช้แผน B หรือ การจัดตั้งกองรีทในต่างประเทศ" น.ส.จรีพร กล่าว
ทั้งนี้บริษัทฯ ยืนยันจะขายทรัพย์สินที่ราคา Premium จากราคาประเมิน
ทั้งนี้บริษัทฯ ยังคงเป้าหมายรายได้ปีนี้ทำสถิติสูงสุดใหม่ (All Time High) ต่อเนื่อง แม้จะไม่มีการขายสินทรัพย์เข้ากองรีท WHART ซึ่งจะได้รับเงินเข้ามากว่า 1 พันล้านบาท แต่บริษัทฯ ยังมีรายได้จาก 4 กลุ่มธุรกิจหลักที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะ
- ธุรกิจโลจิสติกส์ ที่คาดจะเติบโตโดดเด่น โดยยังคงเป้าหมายส่งมอบโครงการและสัญญาใหม่เพิ่มขึ้น 200,000 ตารางเมตร แต่การสร้างรายได้จากสินทรัพย์ใหม่ จะลดลงไปจากแผนเดิม 40,000 ตารางเมตร และคาดการณ์ว่าสินทรัพย์รวมภายใต้กรรมสิทธิ์และการบริหารจะเพิ่มถึงระดับ 3,145,000 ตารางเมตร
- ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายที่ดินในปีนี้รวม 2,275 ไร่ แบ่งเป็นในประเทศไทย 1,650 ไร่ และในเวียดนาม 625 ไร่
- ธุรกิจสาธารณูปโภค บริษัทตั้งเป้ายอดการจำหน่ายและบริหารจัดการน้ำรวมที่ 178 ล้านลูกบาศก์เมตร แบ่งเป็นภายในประเทศ 142 ล้านลูกบาศก์เมตร และในเวียดนาม 36 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมถึงตั้งเป้ามีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้น (Secured PPA Equity MW) เพิ่มเป็น 1,000 เมกะวัตต์
- ธุรกิจดิจิทัล (Digital) เดินหน้าพัฒนาธุรกิจใหม่ ทั้งธุรกิจ Healthcare และ Super Diver App เพื่อส่งเสริมแนวทางโครงการ Green Logistics
ส่วนงบลงทุนในช่วง 5 ปี (ปี 67-71) ยังคงมูลค่าไว้ประมาณ 78,700 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นสำหรับธุรกิจโลจิสติกส์ 21,000 ล้านบาท, ธุรกิจนิคมฯ 33,000 ล้านบาท, ธุรกิจสาธารณูปโภค 21,200 ล้านบาท และธุรกิจดิจิทัล 3,500 ล้านบาท
ด้านงบลงทุนซื้อที่ดินปีนี้ วางไว้ที่ 8,000 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาส 1/67 ใช้ไปแล้วประมาณ 5,000 ล้านบาท จะคงเหลืองบอีกราว 3,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการซื้อที่ดินเข้ามาเพิ่มเติม แต่เบื้องต้นมองว่าการซื้อที่ดินเข้ามาในพอร์ตอาจชะลอลง เนื่องจากปัจจุบันบริษัทมีที่ดินที่ซื้อและโอนเรียบร้อยแล้วกว่า 8,800 ไร่ ซึ่งเพียงพอสำหรับการขายใน 5 ปี
จากกรณีผู้ถือหน่วย WHART คว่ำโหวตเพิ่มทุน บริษัทฯ คาดจะมีผลกระทบต่อกระแสเงินสดเพียง 1 พันล้านบาท หากเทียบกับแผนลงทุนในโครงการอาคารคลังสินค้าสีเขียว ราว 25,000 ล้านบาท ถือว่าน้อยมาก ขณะที่ไตรมาส 1/67 บริษัทฯมีกระแสเงินสดมากกว่า 1 หมื่นล้านบาท และอัตราส่วนการให้สินเชื่อโดยเทียบกับมูลค่าหลักประกันหรือ LTV ของตัว WHART ปัจจุบันอยู่แค่ 27.8% จากเพดาน 35% จึงยังมีความสามารถกู้ยืมสถาบันการเงินอีกมาก
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผน Spin Off บริษัทลูกเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นภายในปีหน้า ส่งผลให้จะมีกระแสเงินสดเข้ามาเพิ่มเติม และไม่มีความกังวลว่าเรื่องดังกล่าวจะกระทบต่อกระแสเงินสดของบริษัท