นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรมว.คลัง กล่าวให้ความเห็นว่า จากที่กระทรวงการคลัง สำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แถลงมาตรการขับเคลื่อนตลาดทุนเย็นนี้ว่า คาดจะช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยให้กลับมาคึกคักได้ 1-2 วัน แต่ยังไม่เปลี่ยนมุมมอง เพราะสุดท้าย ตลาดหุ้นไทยจะไปต่อได้ขึ้นกับเศรษฐกิจไทยถ้าหากเติบโตต่อเนื่องก็จะทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เติบโตไปด้วย เพราะบริษัทในตลาดหุ้นไทยส่วนใหญ่ตลาดหลักก็ยังอยู่ในประเทศ
โดยที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยไม่ไปไหน ก็เพราะกำไรของบริษัทจดทะเบียนไม่โตมานานแล้ว ดังนั้น เศรษฐกิจไทยต้องดีก่อน บจ.ก็จะมีกำไรดี เมื่อนั้นนักลงทุนก็จะหันมาสนใจหุ้นไทย
"ใครๆก็เห็น เศรษฐกิจบ้านเราเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ...สัญญาณชัดเจนว่าเราจะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ที่จะตอบโจทย์ปัญหาว่าอุตสาหกรรมเดิมๆว่ามันตกยุคหรือเปล่า หรือจะมีอุตสาหกรรมใหม่มาทดแทน เรื่องการแก้ไขปัญหาที่เราเห็นอยู่ ในเชิงโครงสร้างเรื่องการพัฒนา การศึกษา และอื่นๆ เหล่านนี้ถ้ามันมีสัญญาณชัดเจน และนโยบายของรัฐบาลชัดเจนที่มาแก้ไขปัญหาระยะสั้นระยะยาว ตลาด(หุ้น)มันก็ฟื้นได้"นายกรณ์ กล่าว
ส่วนมาตรการที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเตรียมเริ่มใช้มาตรการการเพิ่ม Uptick (รายหลักทรัพย์) ในวันที่ 1 ก.ค. 67 โดยให้ขายชอร์ต (ทุกหลักทรัพย์) ได้ที่ราคาสูงกว่าราคาซื้อขายครั้งสุดท้าย (Uptick) จากปัจจุบันให้ขายชอร์ตได้ที่ราคาเท่ากับหรือสูงกว่า (Zero-plus Tick) พร้อมการทบทวนหลักทรัพย์ที่ Short Selling ได้ เริ่มวันที่ 21 มิ.ย.นี้นั้น นายกรณ์เห็นว่า มาตรการจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ที่จะส่งผลต่อบรรยากาศตลาดหุ้นไทย
"ผมคิดว่าทุกอย่างมีราคาที่แหมาะสม เวลาของแพงของถูก คือเรื่องคุณภาพสินค้า และเรื่องราคา สัญชาตญาณในฐานะที่อยู่ตลาดหุ้นมาก็คือ เวลาคนเริ่มพูดเหมือนกันหมด ทำให้ผมมีคำถามว่า มันถึงเวลาที่กลับไปอีกทางหนึ่งแล้วหรือยัง อาจจะปีที่แล้ว ถ้ามีใครมาบอกว่าหุ้นไทยไม่มีอนาคต อาจจะมีเสียงไม่เห็นด้วย แต่วันนี้ทุกคนพูดหุ้นไทยไม่มีอนาคต ถ้าทุกคนขายหมดแล้ว คราวนี้มีทางเดียวก็คือขึ้น มันจะขึ้นอยู่กับว่าวันเวลาไหนมีผู้กล้าหาญคนแรกเข้าไปซื้อ ถ้านักลงทุนต่างประเทศขายออกไป 1 ล้านล้านบาทในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แสดงว่าไม่มีหุ้น" นายกรณ์ กล่าว