รมว.คลัง จ่อฟื้น "วายุภักษ์" เล็งชง ครม.2 สัปดาห์ปรับ ThaiESG ขยาย 3 แสนบาท-ถือ 5 ปี-เพิ่มจำนวนหุ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday June 24, 2024 17:43 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

รมว.คลัง จ่อฟื้น

กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ร่วมแถลงมาตรการขับเคลื่อนตลาดทุน ซึ่งหนึ่งในมาตรการสำคัญ คือการปรับเงื่อนไขกองทุนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีในปัจจุบันคือ ThaiESG ให้สอดคล้องกับเป้าหมายในการสงเสริมให้เกิดการออม ผ่านการลงทุนในตลาดทุน และสร้างแรงจูงใจให้ผู้ระดมทุนให้ความสำคัญกบความยั่งยืน

ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เห็นพ้องที่จะเสนอขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน 2 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อปรับเงื่อนไข ThaiESG ด้วยการขยายวงเงินการนำวงเงินลงทุนไปขอลดหย่อนภาษีเงินได้ เป็นสูงสุดไม่เกิน 3 แสนบาท จากเดิมสูงสุดไม่เกิน 1 แสนบาท และปรับลดระยะเวลาถือครองเหลือ 5 ปีนับจากวันที่ซื้อ จากเดิม 8 ปี

การปรับเงื่อนไขกองทุน ThaiESG ในครั้งนี้การลงทุนยังได้เพิ่มประเภทบริษัทจดทะเบียนที่มีเรื่องธรรมาภิบาล (Governance) ที่ดีเข้ามาให้กองทุนสามาถใส่เงินลงทุนได้ เพิ่มเติมจากเดิมที่เน้นเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อทำให้บริษัทจดทะเบียนมีความตระหนักถึงการดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่เข้ามาลงทุน พร้อมกับสร้างความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม โดยที่การเพิ่มในส่วนนี้จะทำให้ตัวเลือกของหุ้นที่สามารถลงทุนได้ในกองทุน ThaiESG เพิ่มขึ้นอีกราว 200 ตัว จากเดิมที่มี 128 ตัว

นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ ก.ล.ต. ระบุว่า กองทุน ThaiESG ที่เปิดขายเมื่อปลายปีที่แล้วเพียง 1 เดือน สามารถระดมเม็ดเงินได้ราว 6 พันล้านบาท แต่หลังจากการปรับเงื่อนไข ThaiESG ใหม่ในครั้งนี้จะทำให้มีเวลาเปิดขายหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 4-5 เดือน จึงเชื่อว่าจะมีเม็ดเงินที่เข้ามาสู่ตลาดทุนมากขึ้น

"จากความสำเร็จของกองสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ผ่านมา นำมาปรับเงื่อนไขกองสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่มีในปัจจุบัน คือ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thailand ESG Fund: TESG fund) ให้มีความน่าสนใจ และสอดคล้องกับเป้าหมายในการสร้าง positive impact ทั้งการออม การให้แรงจูงใจผู้ลงทุนที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนในมิติด้านสิ่งแวดล้อม และการให้ความสำคัญกับการสร้างผลตอบให้กับผู้ถือหน่วยลงทุน"

นางพรอนงค์ กล่าวว่า การปรับเงื่อนไขกองทุน ThaiESG ในครั้งนี้ คาดว่าภาครัฐจะสูญเสียรายได้จากกรจัดเก็บภาษีราว 1.3 หมื่นล้านบาท/ปี หากมีผู้ลงทุนใช้สิทธิของการลงทุนใน ThaiESG เต็มสิทธิ โดยการนำเรื่องการปรับเงื่อนไขกอง ThaiESG เข้าพิจารณาในการประชุมครม. คาดว่าจะไม่เกิน 2 สัปดาห์ และน่าจะเสนอขายกองทุน ThaiESG เงื่อนไขใหม่ได้ภายในก.ค.นี้

นอกจากนั้น ภาครัฐยังศึกษาความสำเร็จของกองทุนรูปแบบอื่น อาทิ กองทุนวายุภักษ์ เข้ามาเสริมสร้างกลไก การออม การลงทุนให้กับประชาชนผ่านรูปแบบการลงทุนร่วมของภาครัฐ และการมีโครงสร้างผลตอบที่มีขั้นต่ำ ขั้นสูง การกำหนดลำดับของสิทธิการได้รับผลตอบแทนที่จะรองรับกลุ่มของผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้แตกต่างกันอีกด้วย ร่วมกับการขับเคลื่อนและผลักดันการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ในลักษณะอื่น ๆ เช่น การจัดกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นเทรนด์ในอนาคต และการพัฒนา Exchange-Traded Fund (ETF) รวมทั้งบัญชีส่วนบุคคลเพื่อการลงทุนระยะยาว (Individual Saving Account) ที่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี เป็นต้น

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังศึกษารูปแบบของกองทุนวายุภักษ์ หลังจากกองเดิมมีเม็ดเงินลงทุน 3.5 แสนล้านบาท คาดว่าวงเงินของกองทุนใหม่จะมีเม็ดเงินราว 1.5 แสนล้านบาทเข้ามาเติม โดยมีรูปแบบของผลตอบแทนจะคล้ายกับกองทุนวายุภักษ์เดิมที่มีการประกันผลตอบแทนการลงทุนแบบ waterfall ราว 3% เป็นการช่วยสร้างเม็ดเงินใหม่เข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยคาดว่าใช้ระยะเวลาในการพิจารณาราวเดือนครึ่ง

"เรากำลังดูว่ารูปแบบจะเป็นอย่างไรที่ดีขึ้นและแข็งแรงขึ้น" นายพิชัย กล่าวถึงแนวคิดการฟื้นกองทุนโมเดลของกองทุนวายุภักษ์

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลท.กล่าวว่า การปรับเงื่อนไขกองทุน ThaiESG จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยเฉพาะเม็ดเงินจากนักลงทุนสถาบันที่ชะลอตัวไป หลังจากต่างชาติขายหุ้นไทยออกไปค่อนข้างมาก ส่วนหนึ่งมาจากการที่บริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่อ้างอิงกับเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีความผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งยังไม่เห็นภาพของการที่เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวได้ชัดเจน ประกอบกับการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐยังไม่ออกมาอย่างเห็นได้ชัด ทำให้กระทบต่อเศรษฐกิจไทย และทำให้นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกไป

อย่างไรก็ตาม มองว่าแรงขับเคลื่อนสำคัญหลังจากที่ที่จะช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทย และเป็นปัจจัยที่หนุนต่อตลาดหุ้นไทยให้ฟื้นกลับมา คือ การเบิกจ่ายภาครัฐที่จะออกมาอย่างชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยจะฟื้นกลับมา และนักลงทุนต่างชาติจะเริ่มกลับมาสนใจลงทุนในประเทศไทยอีกครั้ง รวมถึงการปรับเงื่อนไขของกองทุน ThaiESG ทำให้ร่าสนใจและดึงดูดผู้ลงทุนเข้ามามากขึ้น จะเป็นตัวช่วยฟื้นตลาดหุ้นไทยกลับมาในช่วงครึ่งปีหลังนี้

นอกจากจะส่งเสริมเม็ดเงินที่จะเข้ามาสู่ตลาดทุนแล้ว ทั้งเดินหน้ามาตรการยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุน เพราะมาตรการขับเคลื่อนการลงทุนจะต้องควบคู่กับการแก้ไขปัญหาที่ท้าทายในปัจจุบัน ทั้งจากการขายชอร์ตและโปรแกรมเทรดที่อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ก.ล.ต. ร่วมกับ ตลท.และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) จึงผลักดันมาตรการต่าง ๆ และเร่งรัดให้เกิดการดำเนินการที่คำนึงถึงผลกระทบในหลายด้านอย่างรอบคอบ และให้มีการดำเนินการอย่างชัดเจน โดยส่วนใหญ่จะดำเนินการได้ต้นเดือน ก.ค.67

นอกจากนั้นยังจะมีมาตรการต่าง ๆ ตามออกมาอย่างต่อเนื่องตามไทม์ไลน์ที่วางไว้ เช่น มาตรการเพิ่ม Circuit Breaker รายหุ้น และเพิ่มมาตรการ Auction หุ้นที่อยู่ในมาตรการกำกับการซื้อขาย คาดว่าจะบังคับใช้ปลายเดือน ส.ค.67 , มาตรการกำหนดวลาขั้นต่ำของ Order ก่อนที่จะสามารถยกเลิกได้ Minimum Resting Time อยู่ที่ 250 Millisecond และการเพิ่มคุณภาพการตรวจสอบ บล.ทั้งการทำ KYP การตรวจสอบหุ้นก่อนส่งคำสั่ง ธุรกรรม short / long sell คาดจะบังคับใช้ไตรมาส 3/67 , Auto Halt หุ้นรายตัว ไตรมาส 1/68 ,เพิ่มโทษสมาชิกกรณีที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเกณฑ์การขายชอร์ตและโปรแกรมเทรด ในไตรมาส 3/67

นายภากร กล่าวว่า ตลท.เดินหน้าเพิ่มมาตรการควบคุมการซื้อขายต่างๆที่ทยอยออกมา เพื่อลดความผันผวนของการซื้อขาย และช่วยปกป้องนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย และช่วยสร้าง sentiment บวกให้กับตลาดหุ้นไทย ทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่น และกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย

ก.ล.ต. และ ตลท.จะติดตามผลของการดำเนินการและมีการทบทวนมาตรการให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และขอให้มั่นใจว่า พฤติกรรมการกระทำผิดในลักษณะที่เข้าข่ายการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ (Market Misconduct) เมื่อเกิดขึ้นจะมีการดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และระดับความรุนแรงของความผิดจะสูงขึ้นจากมาตรการที่ขับเคลื่อนครั้งนี้ รวมทั้งการกำหนดปรับปรุงค่าปรับจากการกระทำผิดที่สูงขึ้นและการปรับแก้กฎหมายให้เข้มข้นขึ้น เพื่อป้องปรามการกระทำที่ไม่เหมาะสม ทั้งนี้ นายพิชัย กล่าวว่า มาตรการที่ ก.ล.ต.และ ตลท.ออกมาควบคุมการซื้อขาย เป็นมีความเพียงพอและเหมาะสมที่สามารถลดความผันผวน และลดผลกระทบที่เข้ามากดดันต่อดัชนีตลาดหุ้นไทยได้อย่างเหมาะสม ซึ่งสามารถฟื้นความเชื่อมั่นให้กับตลาดหุ้นไทย รวมถึงฟื้นความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้เช่นกัน แต่การยกเลิก short selling ไปเลยอาจจะไม่เหมาะสม เพราะถือเป็นเครื่องมือหนึ่งของนักลงทุนระยะยาวที่ใช้ลดความผันผวน และป้องกันความเสี่ยง หากยกเลิกไปจะเกิดผลกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ทำให้ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล และเกิดผลเสียต่อตลาดหุ้นไทยในระยะยาวได้


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ