บมจ. เจ้าสัว ฟู้ดส์ อินดัสทรี (CHAO) ประกาศราคาเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 87.7 ล้านหุ้น ที่ 11.80 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อในช่วงวันที่ 1-3 ก.ค.นี้ เพื่อนำเงินที่ได้หลังหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายราว 526.1 ล้านบาท สร้างโรงงานโฮลซัมแห่งที่ 2 และขยายกำลังการผลิตรองรับการขยายการส่งออกตลาดโลก พร้อมลงทุนในระบบปฏิบัติการอัตโนมัติ (Automation) ชำระคืนเงินกู้ยืมสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจ
พร้อมแต่งตั้ง บล.กสิกรไทย เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญ พร้อมแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญอีก 5 ราย ประกอบด้วย บล.เอเซีย พลัส บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) บล.ทิสโก้ และ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)
สำหรับหุ้นที่เสนอขาย IPO ครั้งนี้ มาจาก (ก) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 46,944,100 หุ้น (ข) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Sagar Capital Pte. Ltd. จำนวนไม่เกิน 22,500,000 หุ้น และ (ค) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดย Great Wind Group Limited จำนวนไม่เกิน 18,240,000 หุ้น
ที่มาของการกำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่ 11.80 บาทต่อหุ้น หากพิจารณากำไรสุทธิตามงบการเงินของบริษัทฯ ในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง (ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 ถึงไตรมาสที่ 1 ของปี 2567) เท่ากับ 169.68 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด 300,000,000 หุ้น (Fully Diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้น (Earnings Per Share) เท่ากับ 0.57 บาทต่อหุ้น และอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio: P/E) ประมาณ 20.86 เท่า
นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า CHAO มีความแข็งแกร่งในการเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายขนมขบเคี้ยวและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากเนื้อสัตว์ โดยบริษัทฯ ถือเป็นผู้นำในกลุ่มขนมขบเคี้ยวไทยรูปแบบใหม่ (Modern Thai Snack) ที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งเป็นผู้นำในตลาดข้าวตังและตลาดขนมขบเคี้ยวแปรรูปจากเนื้อหมู
ทั้งนี้ เมื่ออ้างอิงข้อมูลรายงานภาวะอุตสาหกรรมของ Frost & Sullivan ในปี 2565 กลุ่มบริษัทฯ มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ทั้งในตลาดข้าวตังและตลาดขนมขบเคี้ยวแปรรูปจากเนื้อหมู (Pork Snack) โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ 78.5% และ 57.2% ตามลำดับ
นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังมีศักยภาพเติบโตผ่านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคในทุกโอกาสและสามารถรับประทานได้ทุกวัน (Everyday Consumption) การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและฐานลูกค้าให้ครอบคลุม รวมถึงการขยายไปสู่ตลาดระดับโลก ด้วยแนวคิด ?Bring Local to Global? เพื่อสร้างแบรนด์เจ้าสัวให้เป็น Global Brand โดยมองว่าจากพื้นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน และความสามารถในการทำอัตรากำไร จะทำให้เจ้าสัวเป็นหุ้น IPO คุณภาพอีกหนึ่งบริษัท
นางสาวณภัทร โมรินทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CHAO กล่าวว่า บริษัทมีแผนลงทุนเพื่อรองรับการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ ดังนี้ 1) ก่อสร้างโรงงานโฮลซัมแห่งที่ 2 รวมทั้งลงทุนซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต 2,000 ตันต่อปี รองรับการขยายตลาดส่งออกในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่เนื้อหมู (Non-Pork) 2) ขยายกำลังการผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้โรงงานโฮลซัมประมาณ 770 ตันต่อปี และเพิ่มกำลังการผลิตข้าวตังดิบประมาณ 600 ตันต่อปี รวมทั้งผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวจากเนื้อสัตว์ทะเลประมาณ 600 ตันต่อปี
3) พัฒนาระบบอัตโนมัติ (Automation) และการปรับปรุงระบบควบคุมคุณภาพ เพิ่มประสิทธิภาพ (Productivity) ในการผลิต และช่วยลดจำนวนพนักงานฝ่ายผลิต อาทิ เครื่องบรรจุอัตโนมัติ (Autopack) เป็นต้น รวมทั้งพัฒนาโปรแกรมสำหรับจัดการทางด้านคำสั่งซื้อขายและระบบโลจิสติกส์ และพัฒนาไลน์การผลิตสินค้าแครกเกอร์ธัญพืชให้เป็นแบบอัตโนมัติทั้งไลน์สำหรับโรงงานโฮลซัม และระบบตู้อบต่อเนื่องสำหรับสินค้าหมูแท่งสำหรับโรงงานเจ้าสัว
4) ขยายกำลังการผลิตกลุ่มผลิตภัณฑ์ภายใต้โรงงานเจ้าสัวและคลังสินค้า โดยเพิ่มกำลังการผลิตขนมขบเคี้ยวข้าวตังภายใต้โรงงานเจ้าสัว ประมาณ 870 ตันต่อปี และเพิ่มกำลังการผลิตขนมขบเคี้ยวประเภทเนื้อสัตว์แปรรูป 125 ตันต่อปี รวมถึงเพิ่มชั้นวางวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์พร้อมจำหน่าย และพัฒนาระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ (Warehouse Automation & Racking) เพื่อเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บสินค้า ประมาณ 2.5 เท่าจากระบบ Racking ในปัจจุบัน
และ 5) ลงทุนโครงการประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาของโรงงานโฮลซัมแห่งที่ 1, 2 และคลังวัตถุดิบ เพื่อช่วยประหยัดค่าพลังงานไฟฟ้า รวมทั้งปรับปรุงระบบความปลอดภัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน
กลุ่มบริษัทฯ ขยายโรงงานโฮลซัมแห่งที่ 2 และขยายกำลังการผลิต เพื่อรองรับศักยภาพการเติบโตในต่างประเทศ โดยปัจจุบันวางจำหน่ายสินค้าในห้างค้าปลีกชั้นนำในประเทศต่างๆ กว่า 12 ประเทศ มีตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา จีน เขตปกครองพิเศษฮ่องกง และออสเตรเลีย เป็นต้น
ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ มีนโยบายเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายกลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยว (Snack) ที่มีแนวโน้มการเติบโต และมีอัตราการทำกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ที่สูง พร้อมทั้งเดินหน้าขยายช่องทางการจัดจำหน่ายในต่างประเทศ ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตต่อเนื่องในอนาคต โดยรายได้จากการส่งออกในปี 2564 2565 และ 2566 อยู่ที่ 216.2 ล้านบาท 343.6 ล้านบาท และ 413.3 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบเฉลี่ยที่ 38.26% จากการเริ่มส่งออกขนมขบเคี้ยวแปรรูปจากหนังปลาไปยังประเทศจีน รวมถึงมีการส่งออกผลิตภัณฑ์แครกเกอร์ธัญพืช ภายใต้แบรนด์ "โฮลซัม (Wholesome)" ให้กับห้างสรรพสินค้าที่มีเครือข่ายสาขาจำนวนมากในต่างประเทศ
"เจ้าสัวมุ่งมั่นสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผ่านการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ ที่ผ่านการวิจัยตลาดให้ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละภูมิภาค สร้างความแตกต่าง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รักษาการเป็นผู้นำในตลาดขนมขบเคี้ยวไทยรูปแบบใหม่อย่างต่อเนื่อง ด้วยการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ การขยายช่องทางให้ครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ เพื่อผลักดันให้เจ้าสัวเติบโตตามเป้าหมายอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนในระยะยาว" นางสาวณภัทร กล่าว