TNITY มองโอกาส Fund Flow ไหลเข้า Q4/67 ช่วงนี้ยังซึมยาวรอปัจจัยฝั่งสหรัฐ-Uptick กดวอลุ่มหด

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday July 2, 2024 14:42 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทรีนีตี้ วัฒนา (TNITY) มองแนวโน้มการลงทุนในช่วงครึ่งปีหลังประเมินการเคลื่อนไหวของ SET ที่ 1,240-1,430 จุด โดยในช่วงสั้น 1-3 เดือนข้างหน้าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะยังแข็งค่าเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของส่วนต่าง (Gap) อัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐและธนาคารกลางอื่นทั่วโลกยังอยู่ในระดับสูง แนะนำลงทุนใน sector ที่เน้นการขยายตัวของกำไร คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มอาหาร กลุ่มโทรคมนาคม กลุ่มโรงไฟฟ้า และกลุ่มโรงพยาบาล

เชื่อว่านักลงทุนต่างชาติอาจจะเริ่มสนใจหุ้นไทยเมื่อ Earning yield gap ของตลาดหุ้นไทยเปรียบเทียบกับ Bond Yield 10 ปีของสหรัฐที่ค่าเฉลี่ยที่ 3.24% หรือระดับดัชนี SET ที่ 1,250 จุด และคาดว่า Fund Flow จะไหลเข้าตลาดไทยในช่วงปลายไตรมาส 4/67 เพราะมีบริษัทจดทะเบียนกว่า 100 บริษัทที่ให้ผลตอบแทนเงินปันผลสูงถึง 6-8% โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่มธนาคาร อาทิ SCB KTB

นายวิศิษฐ์ กล่าวว่า Fund Flow ทั้งขาซื้อและขายจะเบาบางในข่วงไตรมาส 3/67 ทั้งภูมิภาค เนื่องจากเม็ดเงินส่วนใหญ่ยังคงรอสัญญาณการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ และคาดว่า Fund Flow และเงินฝากในต่างประเทศของคนไทย (FCD) กว่า 8.2 แสนล้านบาทจะเริ่มไหลเข้ามาในปลายไตรมาส 4/67 จากความชัดเจนในการลดดอกเบี้ยของเฟดและเป็นช่วง High season ของการท่องเที่ยวไทย

ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าปีนี้เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1 ครั้งที่ 0.25% หรือมีโอกาสคงดอกเบี้ย จากนั้นในปี 68 อาจจะลดดอกเบี้ยถึง 3 ครั้ง และคาดการณ์ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงอัตราดอกเบี้ยทั้งปี 67

ขณะที่ความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมืองถ้าทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณปี 2567 ล่าช้า ก็จะนำไปสู่การลดลงของกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดหุ้นไทย และตลาดหุ้นโลกมักปรับตัวลดลงกว่า 10% โดยเฉลี่ยก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 4 เดือน (สถิติจากการเลือกตั้ง 25 ปีย้อนหลัง)

ส่วนเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในไตรมาส 1/67 สะท้อนได้จากตัวเลขภาคอุตสาหกรรมที่ฟื้นตัว รวมทั้งได้แรงหนุนจากการท่องเที่ยว คาดว่าในไตรมาส 4/67 มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ถึง 4% อย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องมีมาตรการในการกระตุ้นการใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวให้เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงในขณะนี้

สำหรับผลการบังคับใช้มาตรการ Uptick Rule เมื่อวันที่ 1 ก.ค. เป็นวันแรก ทำให้สัดส่วน Program Trading เมื่อวานนี้ลดลงมาเหลือ 35.4% ของวอลุ่มตลาด และมูลค่าธุรกรรม Short Selling ลดลงทันทีจากที่ระดับเฉลี่ย 5,300 ล้านบาท เหลือ 1.2 พันล้านบาท เช่นเดียวกับในปี 63 ที่มีการใช้มาตรการ Uptick ก็ทำให้มูลค่า Short Selling ต่อวันลดลงราว 80% ทั้งนี้ด้วยปริมาณการทำ Short Selling ที่ลดลงก็ทำให้ปริมาณการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยลดลงอย่างมีนัยสำคัญด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ