บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) ไตรมาส 2/67 คาดกำไรโตทั้ง YoY และ QoQ ได้แรงหนุนรายได้ธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปและอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโต และไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจาก Red Lobsters อีกแล้ว ส่วนช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตได้สูงกว่าครึ่งแรก รับผลดีงการปรับราคาสินค้าหลังราคาปลาทูน่าเริ่มขยับขึ้น รวมทั้งมาร์จิ้นจะเพิ่มขึ้นจากธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปและธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่ยังส่งออกได้ดี
นอกจากนี้ ผู้บริหารอาจปรับเพิ่มประมาณการทั้งปีอีกครั้งภายหลังการประกาศงบไตรมาส 2/67 และงบงวดครึ่งปีแรกในเดือนส.ค.นี้ ขณะที่การประกาศขายหุ้นที่ TU ซื้อคืนมาจำนวน 200 ล้านหุ้น มองไม่น่าจะมีการขายออกมา แต่คงนำไปลดทุนจดทะเบียน หนุนกำไรต่อหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นได้
ราคาหุ้น TU ช่วงบ่ายวันนี้อยู่ที่ 14.80 บาท
เคจีไอ Outperform 19.70 เอเซียพลัส Outperform 19.00 คิงส์ฟอร์ด ซื้อ 19.00 พาย ซื้อ 18.10 กสิกรไทย Outperform 18.00 บัวหลวง ซื้อ 18.00 ยูโอบี เคย์เฮียน ซื้อ 18.00 อินโนเวสท์ เอกซ์ ซื้อ 18.00 ดาโอ ซื้อ 18.00 กรุงศรี ซื้อ 17.00 ทรีนีตี้ ซื้อ 17.60 ทิสโก้ ซื้อ 17.50 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 17.30 หยวนต้า ซื้อ 16.80
นางสาวสุรีย์พร ทีวะสุเวทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาดว่ากำไรปกติของ TU ในไตรมาส 2/67 อยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท (+50% QoQ , +6% YoY) โดยรายได้รวมเติบโตทั้งธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป (Ambient seafood) และธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง โดยไตรมาส 2/67 ดีมานด์หลักมาจากสหรัฐส่งผลให้ปริมาณการส่งออกดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส 2/67 ค่าใช้จ่ายปรับตัวสูงขึ้นทั้ง QoQ และ YoY จากค่าใช้จ่ายการตลาด รวมทั้งค่าใช้จ่ายการขนส่งที่เพิ่มขึ้นจากสินค้าบางส่วนที่ขายแบบ CIF (Cost, Insurance & Freight) ซึ่งได้รับผลกระทบจากค่าระวางเรือที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการขนส่งไปยังทวีปยุโรปที่อาจจะติดปัญหาการขนส่งที่ล่าช้าและค่าขนส่งที่สูงขึ้นด้วย
คงประมาณการกำไรปกติที่ 67 ที่ 5 พันล้านบาท โดยคาดว่าปีนี้จะพลิกกลับมามีกำไรหลังจากปีที่แล้ว TU ขาดทุนจากการด้อยค่า Red Lobster คงคำแนะนำ "ซื้อ" ด้วยราคาเป้าหมาย 17.30 บาท อย่างไรก็ตาม บริษัทอาจมีการปรับเป้าหมายปี 67 เพิ่มขึ้นหลังจากภาพรวมผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกเติบโตดีกว่าเป้า
สำหรับประเด็นการจำหน่ายหุ้นซื้อคืนที่มีการแจ้งต่อตลาดฯ มองว่าน่าจะไม่มีการขายออกมา เป็นการลดทุนจดทะเบียนไม่มีประเด็นที่กดดันราคาหุ้น
ขณะที่ บล.พาย มีมุมมองต่อ TU ว่าแนวโน้มไตรมาส 2/67 ยังคงเติบโตได้โดยจะมีกำไรสุทธิ 1,287 ล้านบาท เติบโตทั้ง YoY และ QoQ ปัจจัยบวกจากการเติบโตของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปและอาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่ธุรกิจอาหารแช่แข็งยังคงลดลงจากปีก่อนจากผลกระทบของการปรับขนาดสินค้า แต่หากเทียบกับไตรมาส 1/67 จะเติบโตอย่างมาก
นอกจากนี้ ส่วนแบ่งกำไรบริษัทคาดว่าจะอยู่ที่ 167 ล้านบาท พลิกจากการรับรู้ที่ขาดทุน 137 ล้านบาทในไตรมาส 2/66 หลังไม่ต้องรวมส่วนแบ่งจาก Red Lobster เข้ามา
ขณะที่ภาพรวมครึ่งปีหลังคาดว่ารายได้จะยังเติบโตได้ต่อเนื่องจากผลของการปรับราคาสินค้าหลังจากราคาปลาทูน่าเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมถึงผลกระทบจากนโยบายการปรับขนาดสินค้าในธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งได้หมดแล้ว ด้านธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตได้ดีจากการออกสินค้าใหม่และมีคำสั่งซื้อล่าช้ามาจากไตรมาส 2/67 โดยผู้บริหารอาจมีการปรับประมาณการทั้งปีอีกครั้งภายหลังการประกาศงบเดือนส.ค.นี้
เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 67 ที่ 5,553 ล้านบาท คงคำแนะนำ "ซื้อ" โดยประเมินมูลค่าพื้นฐานที่ 18.1 บาท ด้วยปัจจัยบวกจากแนวโน้มผลประกอบการยังคงเติบโตได้ดีจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ขณะที่การประกาศขายหุ้นที่ TU ซื้อคืน จำนวน 200 ล้านหุ้น มองว่าเป็นการทำตามกฎตลาดฯ และมองว่า TU จะไม่มีการขายในตลาดแต่อย่างใด ซึ่งจะทำการลดทุนลงและทำให้กำไรต่อหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นได้
ด้าน บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์คาดกำไรสุทธิ TU ไตรมาส 2/67 ที่ 1,189 ล้านบาท เพิ่มขึ้น YoY และ QoQ จากอัตราทำกำไรที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มธุรกิจอาหารแปรรูปและธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง QoQ โดยในไตรมาสนี้คาดบันทึกขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน 150 ล้านบาท โดยหากไม่รวมรายการดังกล่าวคาดกำไรหลักจะ -2%YoY และ +41%QoQ จากคาดรายได้รวมเพิ่มขึ้น +3%YoY และ 5%QoQ จากธุรกิจเกือบทุกกลุ่มที่เพิ่มขึ้น ยกเว้นธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งที่ลดลง
เราคาดผลประกอบการ ไตรมาส 3/67 ดีขึ้น YoY และ QoQ ต่อเนื่องจากดีมาน์ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก เรายังคงประมาณการเดิมคาดกำไรปกติปี 67 มาอยู่ที่ 5,810 ล้านบาท (+23%YoY) จากการไม่ต้องรับรู้ขาดทุนจาก Red Lobster (RL) แล้ว และคาดกำไรสุทธิปี 68 อยู่ที่ 6,545 ล้านบาท (+13%YoY) ตามลำดับ แนวโน้มราคาปลาทูน่าที่ลดลงส่งผลต่ออัตรามาร์จิ้นธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น และส่งผลธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป (Ambient seafood) มีปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น
สำหรับธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งคาดยังลดลงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและการปรับลดขนาดธุรกิจในสหรัฐฯ เราคาดอัตราทำกำไรจะค่อยๆ ดีขึ้นในช่วงที่เหลือของปี จากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่คาดจะกลับมาเติบโตมีอัตรามาร์จิ้นเพิ่มขึ้น สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาดใกล้เคียงเดิม และบริษัทจะเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ปีละ 7% จากการได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี BOI และไม่มีเครดิตภาษีเงินได้จากธุรกิจในต่างประเทศแล้ว
เรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" จากคาดผลประกอบการเริ่มกลับมาปกติและการไม่ต้องรับรู้ขาดทุนจากธุรกิจ Red Lobster (RL) แล้ว รวมถึงสถานการณ์ปัจจัยลบต่างๆ เริ่มคลี่คลาย มูลค่าที่เหมาะสมที่ 17.5 บาท อ้างอิง historical PE forward ย้อนหลัง 7 ปี ที่ 14X โดยราคาหุ้นปัจจุบันมี PER24F ที่ 11.8X และคาด Dividend Yield 24F ที่ 4.8% สถานะการเงินแข็งแกร่งคาด Net Debt/Equity 24F อยู่ที่ 0.6X
ส่วน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) คาดว่ากำไรปกติของ TU ในไตรมาส 2/67 จะอยู่ที่ 1.17 พันล้านบาท (+13% YoY, +6% QoQ) คาดรายได้จะเพิ่มขึ้น 4% YoY และ 7% QoQ เป็น 3.54 หมื่นล้านบาท มาจากการเติบโตในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจการดูแลสัตว์เลี้ยง จากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในสหรัฐและ EU ยกเว้นธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งคาดว่ายอดขายจะลดลง 3% YoY แต่จะเพิ่มขึ้น QoQ เพราะกลยุทธ์การกำหนดขนาดที่เหมาะสม (right-sizing strategy) และอุปสงค์ที่อ่อนแอในสหรัฐ เราคาดว่า GPM จะเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ เป็น 17.9% เนื่องจากอัตรากำไรของธุรกิจการดูแลสัตว์เลี้ยง และ อาหารทะเลแปรรูปเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าสัดส่วน SG&A ต่อยอดขายจะเพิ่มขึ้น 0.9ppt YoY และ ทรงตัว QoQ อยู่ที่ 12.6% เพราะบริษัทมีค่าใช้จ่ายด้านการตลาด และการบริหารเพิ่มขึ้นจากโครงการใหม่ ๆ ดังนั้น เราจึงคาดว่ากำไรจากการดำเนินงานของ TU จะเพิ่มขึ้น 6% YoY และ 24% QoQ เป็น 2.08 พันล้านบาท
TU จะไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนจาก Red Lobster อีกในไตรมาสนี้ นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของ Avanti Feed Limited จะเป็นปัจจัยหลักที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโต คาดว่าส่วนแบ่งกำไรจาก JVs และบริษัทร่วมจะอยู่ที่ 192 ล้านบาท (จากที่ขาดทุน 137 ล้านบาทในไตรมาส 2/66, +21% QoQ) อย่างไรก็ตาม เราคาดว่า TU จะมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 250 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายภาษีจะเพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ เพราะไม่สามารถใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก Red Lobster ได้อีก
เรายังคงมองว่าผลการดำเนินงานของ TU จะดีขึ้นต่อเนื่องในครึ่งหลังปี 67 เพราะ GPM ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจอาหารทะเลแปรรูป เพราะราคาทูน่าเริ่มฟื้นตัวขึ้น ทั้งนี้ เราได้ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 67 และ 68 ขึ้นอีก 2% เป็น 6.15 พันล้านบาท และ 7.11 พันล้านบาทตามลำดับ เพื่อสะท้อนถึงกำไรที่แข็งแกร่งขึ้นจากธุรกิจดูแลสัตว์เลี้ยง ซึ่งจะถูกหักล้างไปบางส่วนด้วยค่าใช้จ่าย SG&A ที่เพิ่มขึ้น คงคำแนะนำ"ซื้อ" ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 67 เป็น 19.70 บาท จากเดิม 19.30 บาท อิง PER ที่ 15.0x
https://youtu.be/h0epXwKkg3c