นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ Head of Wealth Advisory ธนาคารทิสโก้ เปิดเผยว่า ช่วงครึ่งหลังของปี 2567 เป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกปรับตัวเป็นขาลง และเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ในสถานการณ์เช่นนี้เป็นผลบวกอย่างมากกับสินทรัพย์เสี่ยงอย่าง "หุ้น"
ดังนั้น ธนาคารทิสโก้จึงแนะนำให้ลูกค้าเลือกลงทุนใน 3 ธีมกองทุนหลัก คือ
1. ธีมตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (Emerging Market: EM) ซึ่งมีโอกาสสร้างกำไร 20-25% โดยมีประเทศที่น่าสนใจ ได้แก่ จีน เวียดนาม อินเดีย และไทย
ธนาคารทิสโก้มองว่าตลาดหุ้นกลุ่มนี้มีโอกาสสร้างกำไรประมาณ 20-25% สูงกว่าตลาดหุ้นโลกและตลาดหุ้นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว (Developed Market :DM) ที่มีโอกาสสร้างกำไรประมาณ 10% ขณะที่เศรษฐกิจกลุ่มประเทศ EM ตามการประเมินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่มองว่าจะเติบโตสูงที่ 4.2% มากกว่า DM ที่เติบโต 1.7% อีกทั้ง นักวิเคราะห์ยังคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนกลุ่ม EM ในช่วง 12 เดือนข้างหน้าเติบโตสูงถึง 19.4% ซึ่งเป็นกลุ่มที่ขยายตัวดีกว่าหุ้นกลุ่ม DM ที่เติบโตอยู่ที่ 5.9% นอกจากนี้ มูลค่าหุ้นยังอยู่ในระดับน่าสนใจโดยมีระดับอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้นใน 12 เดือนข้างหน้า (Forward P/E) ที่ 12.2 เท่า น้อยกว่าตลาดหุ้น DM ที่อยู่ในระดับ 18.3 เท่า
โดยมีประเทศในกลุ่ม EM ที่น่าสนใจ 4 ประเทศ คือ
1.) อินเดีย ประเทศที่เศรษฐกิจโตเร็วที่สุดในโลก โดย IMF คาดการณ์ว่าขนาดของเศรษฐกิจอินเดียจะใหญ่แซงหน้าประเทศญี่ปุ่นขึ้นเป็นอันดับ 4 ของโลกภายในปี 2568 นี้ ขณะที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจปี 2567 จะเติบโต 7.8% เมื่อเทียบปีก่อน (YoY) และคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนในช่วง 12 เดือนข้างหน้าเติบโต 9.7%
2.) จีน รัฐบาลจีนเพิ่มการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์มากขึ้นผ่านการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและออกนโยบาย อาทิ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR), ปรับลดอัตราส่วนสำรองของธนาคาร (RRR), ออกวงเงินกู้ยืมให้บริษัทของภาครัฐเพื่อนำเงินไปซื้ออสังหาฯ โดย Bloomberg Consensus คาดการณ์เศรษฐกิจปี 2567 อยู่ที่ 4.94% YoY มีมูลค่าตลาดหุ้นถูกโดยซื้อขายที่ระดับ Forward P/E ที่ 11.30 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 12.3 เท่าและคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนในช่วง 12 เดือนข้างหน้าเติบโต 20.7%
3.) เวียดนาม เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่งจากการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) การส่งออกและการท่องเที่ยว ขณะที่ตลาดหุ้นกำลังอัพเกรดเป็น EM ทำให้ดัชนีมีโอกาสขึ้นไปซื้อขายในระดับที่สูงขึ้นจากกระแสเงินทุนต่างชาติ โดย Bloomberg Consensus คาดการณ์เศรษฐกิจปี 2567 โต 5.85% YoY และมูลค่าตลาดหุ้นยังถูก โดยซื้อขายที่ระดับ Forward P/E ที่ 10.5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 12.7 เท่าและคาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนในช่วง 12 เดือนข้างหน้าเติบโตสูงถึง 32.6%
4.) ไทย ซึ่งเศรษฐกิจมีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังจากการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐและการท่องเที่ยว โดยศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) คาดว่าเศรษฐกิจปี 2567 จะเติบโต 2.80% YoY ขณะที่มูลค่าตลาดหุ้นถูกโดยมีระดับ Forward P/E ที่ 13.1 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ 15.5 เท่า ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในช่วง 12 เดือนข้างหน้าอาจเติบโต 8.6%
2. ธีมกลุ่มหุ้นเติบโต (Growth Stocks) ได้แก่ กลุ่มธุรกิจ AI และ กลุ่มพลังงานสะอาด
ในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัว หุ้นเติบโตจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ ซึ่งธนาคารทิสโก้แนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ (Megatrends) 2 กลุ่ม คือ
1.) หุ้นที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่เกือบทุกธุรกิจทั่วโลกต้องการใช้งานเพื่อสร้างการเติบโตของรายได้และกำไรครั้งใหม่ (New S Curve) รวมถึงกลุ่มบูรณาการที่จะสนับสนุนการใช้งาน AI ไม่ว่าจะเป็น Cloud ,Cybersecurity ที่จะเติบโตควบคู่ไปด้วย โดย Bloomberg Consensus คาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนในช่วง 12 เดือนข้างหน้าว่าเติบโตกว่า +17.4% YoY
2.) หุ้นกลุ่มพลังงานสะอาด (Renewable energy) อุตสาหกรรมพลังงานทั่วโลกกำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนแปลงไปยังแหล่งพลังงานสะอาด ซึ่งได้รับแรงผลักดันจากนโยบายของรัฐบาลทั่วโลกที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และได้รับแรงหนุนจาก AI และ Data Center ที่ใช้พลังงานสูงขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ Bloomberg Consensus คาดการณ์กำไรของบริษัทจดทะเบียนในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะเติบโต +11.1% YoY
ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูลจาก Bloomberg พบว่าหุ้นทั้งสองกลุ่มข้างต้นมีโอกาสสร้างกำไรประมาณ 15- 25%
โดยทั้งสองธีมลงทุนเป็นหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ที่มีโอกาสสร้างกำไรอย่างก้าวกระโดดในระยะยาวตามความต้องการของผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรม
3. ธีมตราสารหนี้โลก (Global Bonds) ซึ่งเหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ
ธนาคารทิสโก้ยังแนะนำให้ลงทุนต่อในตราสารหนี้โลก ซึ่งได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยเพิ่งเริ่มเป็นขาลง และในปีหน้าเป็นเทรนด์ดอกเบี้ยขาลงชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลงจะเพิ่มโอกาสให้ลูกค้าที่ลงทุนในตราสารหนี้ช่วงนี้ได้รับกำไรจากราคาหน้าตั๋วที่เพิ่มขึ้น โดยหากเข้าลงทุนในช่วงนี้มีโอกาสกำไรในช่วง 12 เดือนข้างหน้าราว 6-8%