บมจ.เอสวีไอ(SVI) คาดยอดขายปี 51 เติบโต 25% จากปีก่อน 169 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มเป็นประมาณ 210 ล้านเหรียญสหรัฐ และกำไรสุทธิจะสูงกว่าปีก่อนที่มี 11.19 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมีอัตรากำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า 5.5% ของยอดขาย จาก 6.6% ในปีก่อน โดยคาดกำไรขั้นต้นปีนี้จะอยู่ 9.5-10.5% จากปีก่อนอยู่ที่ 11% เป็นผลจากค่าขนส่งเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทได้ทยอยปรับราคาเพื่อครอบคลุมต้นทุนที่เพิ่มขึ้นแล้ว ซึ่งจะช่วยกำไรขั้นต้นดีขึ้นชัดเจนในไตรมาส 3/51
"เรามีค่า Fuel Surcharge สูงมากทำให้ค่าขนส่งเราสูงแต่เราผลักราคาไปที่ลูกค้า ในไตรมาส 3 ก็จะเห็นผลชัดจากการที่เราปรับราคาไป ก็คิดว่าไม่กระทบกับ Net Profit ซึ่งเราพยายามให้เกิน 5.5%"นายพงษ์ศักดิ์ โล่ห์ทองคำ กรรมการผู้จัดการ SVI กล่าว
สำหรับไตรมาส 2/51 คาดว่ายอดขายจะสูงกว่าไตรมาส 1/51 ที่มี 49 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากเป็นช่วงมีคำสั่งซื้อเข้ามามากและไตรมาส 3 ก็จะสูงขึนอีก
SVI ระบุว่า ในปี 51 บริษัทตั้งงบลงทุนไว้จำนวน 530 ล้านบาท คาดว่าในครึ่งปีแรกจะใช้เงินลงทุน 130 ล้านบาท และที่เหลืออีก 400 ล้านบาทไว้ใช้ในครึ่งปีหลัง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ลงทุนในเครื่องจักร นอกจากนี้ในครึ่งปีหลังเตรียมซื้อที่ดินเตรียมสร้างโรงงานใหม่ด้วย
และบริษัทมีโครงการที่จะเพิ่มโรงงานในประเทศที่นิคมอุตสาหกรรมบางกระดี่ ใช้เงินลงทุนรวมที่ดิน 660 ล้านบาท คาดเริ่มผลิตได้ในไตรมาส 1/52 สำหรับเฟสแรกที่จะทำรายได้ 80-100 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี เพื่อต้องการขยายกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มากขึ้น
ทั้งนี้ โรงงานใหม่จะแบ่งดำเนินการเป็น 4 เฟส แต่ไม่กำหนดว่าเฟสต่อไปจะดำเนินการเมื่อไร ขึ้นอยู่กับแหล่งเงินที่บริษัทมี
ดังนั้นในช่วง 2 ปี( ปี 51-52) บริษัทจะใช้เงินลงทุนจำนวน 1,200 ล้านบาทสำหรับการขยายโรงงานใหม่และเพิ่มเครื่องจักร รวมถึงคลังสินค้า โดยแหล่งเงินมาจากกระแสเงินสดจากบริษัท 900-1,000 ล้านบาท และ อีก 200 ล้านบาทบริษัทใช้เงินกู้ อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.8%
"การขยายโรงงานใหม่เราใช้เงินที่มีอยู่ เราไม่ใช่คนที่มีพ่อรวย เราก็ทำได้ทีละ 25% ถ้าให้เรากู้มาลงทุนทีเดียวเราก็มองว่าเสี่ยงเกินไป เราต้องการ conservative สำหรับ SVI เรื่องใหญ่อยู่ที่ cashflow"นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
สำหรับ กองทุน H&Q Asia Pacific ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ปัจจุบันลดสัดส่วนถือหุ้นเหลือ 59.34% (ณ 9 เม.ย.51) หรือ จะคิดเป็น 47% หลังการใช้สิทธิแปลงสภาพวอแรนต์แล้ว และมีแผนจะขายออกทั้งล็อตในปีนี้ เนื่องจากอายุกองทุนจะหมดแล้ว แต่หากหาผู้ซื้อไม่ได้ก็จะต้องต่ออายุกองทุนไปอีก 1 ปี
อย่างไรก็ตาม ทางกองทุน H&Q คงขะขายหุ้น SVI ให้กับกองทุนด้วยกัน เพราะได้มีการพูดคุยกับไว้ก่อนแล้วว่าต้องไม่ขายให้กับ strategic partner ไม่เช่นนั้นทีมบริหารก็จะย้ายออกไป
"เขาควรจะขายได้แล้ว เห็นว่าจะขายได้ภายในปีนี้ ผมคุยกับเขาแล้วว่าต้องขายให้กองทุนด้วยกัน เราไม่ต้องการมี strategic partner เรามีลูกค้า และยอดขายเราแข็งแกร่งอยู่แล้ว " นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
ปัจจุบัน ลูกค้าหลักของบริษัทอยู่ที่ยุโรป จึงไม่ได้รับผลกระทบจากตลาดสหรัฐชะลอตัว
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--