นางสาววรางคณา อัครสถาพร ผู้จัดการใหญ่ บมจ.เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล (XPG) เปิดเผยว่า ปี 67 เป็นปีที่บริษัทมีพันธกิจที่สำคัญ คือการตั้งเป้าหมายรายได้รวม ที่ 1,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 66 กว่า 47% ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายแต่ บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมาย เนื่องจากหากพิจารณาแรงส่งจากปี 66 บริษัทฯประกาศผลการดำเนินงานมีรายได้รวม 681.1 ล้านบาท และไตรมาส 1/67 สามารถทำรายได้อยู่ที่ 248 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 159% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็น 25% ของเป้าหมายผลการดำเนินงานในปีนี้
ขณะเดียวกัน บริษัทมีกำไรสุทธิในไตรมาส 1/67 ที่ 51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 766% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 8 ล้านบาท ผลการดำเนินงานที่ปรากฏออกมาถือจุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จของปีนี้ที่สามารถสร้างผลกำไรที่เติบโตแม้ภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนของไทยจะมีการชะลอตัว แต่รายได้รวมของบริษัทสามารถเติบโตได้ดี
โครงสร้างรายได้ในไตรมาส 1/67 จำนวน 248 ล้านบาท มาจากรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผล 55% ซึ่งเป็นรายได้จากการปล่อยสินเชื่อและการลงทุน รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ 23% โดยรายได้ส่วนนี้มาจากธุรกิจบริหารจัดการกองทุนจาก บลจ.เอ็กซ์สปริง (XSpring AM) เป็นหลัก ในขณะเดียวกันมีกำไรจากเงินลงทุนและส่วนแบ่งกำไรขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม 14% และรายได้อื่น ๆ 8% สัดส่วนรายได้ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของบริษัทที่เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ โดยปัจจัยหลักเป็นผลมาจากกลุ่มธุรกิจสินเชื่อธุรกิจ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของบริษัทที่สามารถเติบโตได้ตามที่คาดการณ์ สะท้อนถึงการขยายฐานลูกค้าในการปล่อยสินเชื่อที่มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
อีกทั้งรายได้จากค่าธรรมเนียมและค่าบริการก็สามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่นสอดคล้องกับการเติบโตในธุรกิจการเงินของบริษัท และเป็นไปตามแผนงานที่ประกาศไว้ นอกจากนี้ในส่วนของการร่วมทุนกับธุรกิจที่มีศักยภาพ บริษัทก็ได้มีนโยบายเปิดกว้างในการเฟ้นหาและเข้าลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพเพื่อต่อยอดธุรกิจ และสร้างการเติบโตให้กับบริษัทที่เข้าไปลงทุน และกลุ่ม XPG อย่างมีเสถียรภาพ พร้อมทะยานไปสู่อนาคตที่มั่นคง
สำหรับการเติบโตของรายได้และกำไรที่โดดเด่นในไตรมาสแรกของปีนี้ ปัจจัยหลักมาจากการบริหารเงินทุนกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างรายได้ของบริษัทมากถึง 55% ของรายได้รวมในไตรมาสแรกในปีนี้ โดยเงินลงทุนส่วนนี้ได้กระจายอยู่ในธุรกิจสินเชื่อ (Debt Financing) ผ่านการส่งเสริมและสนับสนุนด้านการเงินให้กับบริษัทที่มีศักยภาพสูง ที่ต้องการเงินทุนในการต่อยอดและพัฒนาให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยการปล่อยกู้ตรงจากบริษัทฯ และการปล่อยกู้ผ่านตราสารหนี้ (หุ้นกู้ ตั๋วแลกเงิน และตั๋วสัญญาใช้เงิน) และตราสารหนี้นอกตลาด (Private Credit) ซึ่งเป็นการปล่อยสินเชื่อระยะสั้น เพื่อเสริมศักยภาพให้กับลูกค้าที่มีแนวโน้มเติบโตสูงแต่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากอาจจะติดเงื่อนไขบางประการ แต่หากบริษัทเหล่านี้ บริษัทพิจารณาแล้วว่าเป็นบริษัทที่มีศักยภาพ มีโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจ หรือมีหลักประกันที่มีคุณภาพ เช่น ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง หรือ ทรัพย์สินที่มีมูลค่า บริษัทก็จะสามารถดำเนินการอนุมัติสินเชื่อได้โดยใช้ระยะเวลาไม่นาน
"ภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนของไทยที่มีการชะลอตัวอยู่ในช่วงนี้ ถือเป็นความท้าทายต่อภาคธุรกิจเป็นอย่างมาก การเข้าถึงแหล่งทุนก็เป็นเรื่องที่ยากกว่าในสถานการณ์ปกติ ในขณะที่ภาคธุรกิจจำนวนมากก็มองหาแหล่งเงินทุนหมุนเวียนเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ ซึ่งเราเองได้เล็งเห็นปัญหาการเข้าถึงแหล่งทุนที่มีข้อจำกัดมากขึ้น และต้องการช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถเดินหน้าได้ต่อไป จึงเข้ามาให้บริการปล่อยสินเชื่อและการลงทุนเพื่อเติมเต็มความต้องการในส่วนของเงินทุน ซึ่งการให้สินเชื่อภาคธุรกิจนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจของบริษัทที่ต้องการให้บริการทางการเงินที่ครบวงจร โดยมุ่งให้บริการทั้งกลุ่มลูกค้าที่ต้องการเงินทุน และกลุ่มลูกค้าที่ต้องการลงทุน ซึ่งหากลูกค้าที่เข้ามาปรึกษาด้านสินเชื่อ มีธุรกิจที่มีศักยภาพและอยู่ในเงื่อนไขที่บริษัทสามารถเข้าไปลงทุนได้ หรือหากลูกค้าต้องการระดมทุนในตลาดหุ้น หรือ ระดมทุนแบบดิจิทัล ผ่านการเสนอขายดิจิทัลโทเคน เราก็พร้อมต่อยอดและส่งต่อให้กับทุก ๆ บริการที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดผลดีกับลูกค้ามากที่สุด จากการบริการที่ครบทุกมิติ โดยผู้ประกอบธุรกิจที่ต้องการที่ปรึกษาด้านการเงินแบบครบวงจร สินเชื่อเพื่อธุรกิจ และโอกาสในการลงทุนทุกรูปแบบ"