นายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บลจ.อีสท์สปริง (ประเทศไทย) แนวโน้มตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งปีหลังยังคงแกว่งตัวในกรอบ 1,350-1,370 จุด แม้ว่าขณะนี้จะราคาถูกแล้ว และเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตได้ แต่ยังมีความเสี่ยงด้านโครงสร้าง ขณะที่สถานการณ์ยังเป็นรัฐบาลเดิม และไม่มีมาตรการใหม่เข้ามาเพิ่มเติม ยกเว้นว่าจะมีโครงการดิจิทัลวอลเล็ตออกมา ซึ่งเชื่อว่าจะผลักดันดัชนี SET กลับขึ้นไปแตะระดับ 1,400 จุดได้
ตลาดหุ้นไทย Underweight แม้ดาวน์ไซด์จะน้อยลง แต่การเมืองในประเทศยังมีความไม่ชัดเจน รวมทั้งการขยายตัวเศรษฐกิจที่ต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค นอกจากนี้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนอาจยังไม่ชัดเจน จากนโยบายการเงินและนโยบายการคลังที่ไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน
สำหรับคำแนะนำการลงทุนตลาดหุ้นไทย แนะนำลงทุนหุ้นขนาดใหญ่กลุ่มท่องเที่ยวและการแพทย์ได้รับอานิสงส์จากช่วง High Season การท่องเที่ยวช่วงที่เหลือของปี รวมถึงหุ้นปันผลที่สามารถรองรับความผันผวนของตลาดได้
ขณะที่แนวโน้มเม็ดเงินลงทุนต่างชาติในช่วงครึ่งปีหลัง ขึ้นอยู่กับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ซึ่งหากมีการปรับลดดอกเบี้ย เม็ดเงินต่างชาติจะไหลเข้าประเทศที่มีดอกเบี้ยสูงก่อน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยในประเทศยังถูกกดดันจากการเมืองในประเทศ รวมทั้งความชัดเจนของนโยบายการเงิน
สำหรับการจัดตั้งกองทุนรวมวายุภักษ์ มองว่าเป็นกลไกหนึ่งของภาครัฐ ซึ่งจะช่วยเข้ามาประคองตลาดในระยะสั้น ในช่วงที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยค่อนข้างมาก แต่อาจจะยังไม่สามารถหนุนตลาดได้ในระยะยาวได้
*H2/67 ตลาดสหรัฐ-อินเดีย ฮอตสุด รับดอกเบี้ยขาลง
นายบดินทร์ กล่าวว่า ช่วงที่เหลือของปี 67 มองตลาดหุ้นต่างประเทศยังมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐและอินเดีย รวมทั้งตราสารหนี้สหรัฐที่คาดว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี ก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในไตรมาส 4/67
ปัจจัยขับเคลื่อนตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงที่เหลือของปีประกอบด้วยภาพรวมเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้แม้มีสัญญาณชะลอตัวให้เห็นจากดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง รวมทั้งการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐน่าจะเติบโตได้อีก 7% ในช่วงที่เหลือของปี 67 ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีคาดว่าจะเติบโตได้อีก 15% เนื่องจากได้ประโยชน์จากเทคโนโลยี AI
ขณะที่ตลาดหุ้นอินเดียคาดว่าจะยังเติบโตได้อย่างโดดเด่นในภูมิภาคเอเชีย หลังจากช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่องมาในทุกไตรมาส รวมทั้งผลการเลือกตั้งแม้จะเป็นรัฐบาลผสมแต่มองว่ายังสามารถดำเนินนโยบายได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ในตลาดหุ้นอินเดียจะเติบโตได้อีก 8-9% ในช่วงที่เหลือของปี ขณะที่ 68 คาดเติบโต 14% นอกจากนี้หากเฟดปรับลดดอัตราดอกเบี้ยคาดว่าเม็ดเงินลงทุนต่างชาติน่าจะไหลเข้าตลาดหุ้นอินเดียมากขึ้น
นายยิ่งยง เจียรวุทฒิ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายจัดการลงทุน บลจ.อีสท์สปริง แนะนำในช่วงไตรมาส 3/67 มี 4 กองทุนเด่นของอีสท์สปริง คือ กองทุนเปิดอีสท์สปริง US Information Technology (ES-USTECH) ที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ และ กองทุนเปิดอีสท์สปริง US Blue Chip Equity (ES-USBLUECHIP) ที่ลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ของสหรัฐฯที่มีการเติบโตของรายได้ กำไร รวมทั้งมีความสามารถในการแข่งขันและเป็นผู้นำด้านนวัตกรรม
กองทุนเปิดอีสท์สปริง India Acive Equity (ES-INDAE) ที่เน้นลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนโดยจะลงทุนหุ้นที่มีภูมิลำเนาหรือมีกำไรหรือรายได้หลักในประเทศอินเดีย และ สุดท้าย กองทุนเปิดอีสท์สปริง Global Income (ES-GINCOME) ที่เน้นลงทุนในตราสารหนี้ประเภทต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ และเอกชนทั่วโลกเพื่อสร้างการเติบโตของเงินลงทุนในระยะยาว