นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเชีย พลัส กล่าวถึงความกังวลปัญหาของ บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) ในมุมของตลาดหุ้นอาจมีกระแสความหวั่นวิตกให้กับนักลงทุนและสร้างความไม่มั่นใจขึ้นมาในระดับหนึ่ง ซึ่งในระยะแรกที่กระทบค่อนข้างหนักจากราคาหุ้นกลุ่ม EA ที่ปรับตัวลงมาแรงจากคาดการณ์การเติบโตผลการดำเนินงานลดลง รวมทั้งประเด็นความเชื่อมั่น แต่ระยะถัดไปนักลงทุนจะติดตามการแก้ไขปัญหา รวมทั้งการดำเนินงานของคณะกรรมการชุดใหม่ทำให้ผลกระทบต่อตลาดจะน้อยลงเรื่อย ๆ
นางสาวลัพธ์พร ปานะกุล ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ตลาดรอง กล่าวว่า หุ้นกู้ EA ถูกเสนอขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ยังไม่มีการเสนอซื้อเข้ามา ตั้งแต่ถูกลดเครดิตเรตติ้งมาที่ BBB+ สะท้อนว่าบริษัทเริ่มมีข่าวที่ไม่ดี แต่มองว่า Sentiment ข่าวที่เกิดขึ้นส่งผลต่อตัวหุ้นและบุคคลที่เกี่ยวข้อง แม้ยังไม่กระทบกับตัวเลขผลการดำเนินของบริษัท แต่กระทบทางจิตวิทยาและความเชื่อมั่นของนักลงทุนไปแล้ว ซึ่งในตลาดหุ้นกู้ในขณะนี้ยังไม่มีการเสนอซื้อหุ้นกู้ เห็นแต่การเสนอขายอยู่ฝ่ายเดียว
ปัจจุบัน EA มีภาระหนี้หุ้นกู้ 3.1 หมื่นล้านบาท ตราสารหนี้ระยะสั้นประมาณ 1.4 พันล้านบาท เงินกู้จากสถาบันการเงินระยะสั้น 8.3 พันล้านบาท และเงินกู้จากสถาบันการเงินระยะยาว 1.7 หมื่นล้านบาท ซึ่งบริษัทต้องค่อย ๆ แก้ปัญหา โดย EA กำลังจะเสนอขายหุ้นกู้เพื่อนำไป Roll Over หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในปีนี้
นางสาวลัพธ์พร กล่าวว่า ภาพรวมตราสารหนี้ทั้งตลาด 17 ล้านล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ภาคเอกชนระยะยาว (หุ้นกู้ระยะยาว) มีมูลค่าเพียงแค่ 4.55 ล้านล้านบาท ดังนั้นเวลาที่มีหุ้นกู้ตัวที่มีข่าวไม่ดี เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยของตลาดตราสารหนี้โดยรวมทั้งหมด ดังนั้นเลยอยากจะสร้างความมั่นใจว่า อาจจะไม่ต้องกลัวว่าตลาดตราสารหนี้จะล้มเวลาที่มีข่าวอะไรแย่ ๆ ออกมา
นายเทิดศักดิ์ กล่าวถึงกระบวนการในการชำระหนี้หุ้นกู้ เบื้องต้นต้องดูงบดุล (Balance Sheet) ว่ามีกระแสเงินสดเท่าไร ซึ่งหากไม่พอต้องดูที่กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน (CFO) ในแต่ละปี แหล่งเงินต่อมาคือ สถาบันการเงิน และ Asset ของบริษัทที่สามารถขายเพื่อชำระหนี้ได้
ขณะที่ประเด็นตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ถอด EA ออกจาก SET ESG Ratings ไม่น่ามีผลต่อน้ำหนักการลงทุนของกองทุน ซึ่งหุ้นประเภท ESG ยังมีตัวเลือกอีกมาก ขณะที่เดียวกันมองว่าเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้จัดการกองทุนมีการประเมินสถานการณ์รอบด้านเข้มงวดในการเลือกหุ้นมากขึ้น